- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องเร่งแก้
ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องเร่งแก้
ผ่านไปอีก 1 เทศกาลแห่งความสุขของปวงชนชาวไทย กับงานประเพณีมหาสงกรานต์ประจำปี 2554 ที่มีวันหยุดยาวนานประมาณ 1 สัปดาห์ จะเหลือก็แต่เพียงตัวเลขของความสูญเสียทั้งจากชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เอาไว้ให้เป็นโจทย์แก้ไข
เพราะตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน เป็นช่วง 7 วันอันตรายนั้น เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการแถลงสรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2554 ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่วันแรก กระทั่งถึงวันสุดท้ายของการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์”ระบุว่าเกิดอุบัติเหตุทั่วประเทศรวม 3,215 ครั้ง ลดลงจากปี 2553 (3,516 ครั้ง) 301 ครั้ง หรือร้อยละ 8.56 มีผู้เสียชีวิตรวม 271 คน ลดลงจากปี 2553 (361 คน)90 คน หรือร้อยละ 24.93 มีผู้บาดเจ็บรวม 3,476 คน ลดลงจากปี 2553 (3,802 คน) 326 คน หรือร้อยละ 8.57
ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสูด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช รองลงมา จ.นครสวรรค์ จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา รองลงมา จ.นครสวรรค์ และกรุงเทพมหานคร จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช รองลงมา จ.นครสวรรค์ และจ.เชียงราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 38.76 พฤติกรรมเสี่ยงของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัยสูงถึง ร้อยละ 32.59 โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ร้อยละ 81.12 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 57.73 บนถนนในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) หมู่บ้าน ร้อยละ 35.18 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน อายุ 20 - 49 ปี ร้อยละ 53.77 และกลุ่มเด็กเยาวชน อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 28.08
ขณะที่ข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งมีการเก็บตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทุกรายอันเนื่องมาจากอุบัติบนท้องถนนในแผ่นดินไทยในช่วงเวลาเดียวกัน ระบุว่าปีนี้มีผู้บาดเจ็บ 5,566 ราย และเสียชีวิต 249 ราย สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดไม่แตกต่างกันมาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขของทั้งสองหน่วยงานจะไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ยังถือว่าปัญหานี้ยังเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันแก้ไขเพราะความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเกิดขึ้นทุกวัน แต่มีสถิติว่าในช่วงเทศกาลมีผู้เสียชีวิตจะสูงเฉลี่ยวันละ 60-66 คน ส่วนในช่วงวันธรรมดาจะมีประมาณ 30 คน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของช่วงเทศกาล
เพราะแม้แต่ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศปถ. ก็ยังกล่าวยอมรับว่า แม้ความพยายามของทุกฝ่ายในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 จะสามารถลดความสูญเสียลงได้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมตลอดทั้งปี อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งมีปัจจัยหลักสำคัญมาจากพฤติกรรม “เมาแล้วขับ” จึงได้กำชับให้จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้นในทุกระดับ เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนน ควบคู่กับการเร่งสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน
ปฏิญญามอสโกต้องทำเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ตัดสินใจดำเนินมาตรการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยประกาศวาระแห่งชาติ “ทศวรรษแห่งการสร้างความปลอดภัยทางถนน” ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม “ปฏิญญามอสโก” ที่ประกาศให้ปี พ.ศ.2554-2563 เป็น “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน” และทุกประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จะต้องร่วมมือกันลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ดังนั้นกระทรวงคมนาคมจึงได้กำหนดแผนงานด้านความปลอดภัยทางถนนขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้
ระยะเร่งด่วนมุ่งเน้นการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะบริษัท ขนส่ง จำกัด มีมาตรการกำหนดให้ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเป็นศูนย์
ระยะกลาง มีเป้าหมายขยายผลไปยังรถร่วมเอกชน โดยผู้ขับขี่รถเอกชนจะต้องมีระดับแอลกอฮอล์เป็นศูนย์เช่นกัน ส่วนกรมการขนส่งทางบกจะควบคุมรถขนาดใหญ่ ได้แก่ รถบรรทุก และรถโดยสารสาธารณะ รวมถึงมีการนำผู้ขับขี่ไปอบรมและฝึกสอนวิธีการควบคุมยานพาหนะที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยให้มากขึ้นนอกจากนี้มีการใช้งบประมาณปรับปรุงจุดตัดรถไฟกับถนนกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ
ระยะยาว จะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรความปลอดภัยทางถนนที่จะไปสอนนักเรียนในโรงเรียนทุกระดับ โดยมีกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานหลักที่จะไปอบรมครูอาจารย์ อีกทั้งร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 8,000 แห่งทั่วประเทศ กระจายองค์ความรู้ด้วยวิศวกรรมการทาง วิศวกรรมจราจร และวิศวกรรมยานยนต์ ไปสู่ชาวบ้านในพื้นที่
จึงต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะสามารถลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ร้อยละ 50 หรือไม่
นักวิชาการวิพากย์ยังเหลว
แต่ล่าสุด นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ได้วิเคราะห์ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า จากการดำเนินงานด้านการป้องกันอุบัติเหตุจากเทศกาลสงกรานต์ของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งปีที่ผ่านมาและปีนี้ อาทิ การออกมาตรการที่ให้มีการดำเนินงานเน้นการบังคับใช้กฎหมายใน 3 พฤติกรรมเสี่ยงหลักได้แก่ ดื่มแล้วขับ ขับเร็วและการสวมหมวกนิรภัย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) การกวดขันการจำหน่ายสุราที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมไปถึงการกำหนดพื้นที่ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของหน่วยงานระดับจังหวัดและ อปท. จำนวน 60 พื้นที่ ใน 44 จังหวัด และถนนข้าวต่างๆ16 แห่ง อาทิ ถนนข้าวสาร ถนนข้าวเหนียว ฯลฯ ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงสงกรานต์ลดลงในขณะที่จำนวนการเกิดอุบัติเหตุและจำนวนผู้บาดเจ็บรุนแรงที่เข้ารับการรักษาพยาบาลก็ลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตามนพ.ธนะพงศ์ ชี้ว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ร้อยละ 54 อายุระหว่าง 20-49 ปี ขณะที่กลุ่มอายุน้อยกว่า 20 ปี พบสูงถึงร้อยละ 28 ทั้งนี้สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ยังคงเป็น เมาสุรา ร้อยละ 38.7 รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 20.5 ขับขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย ร้อยละ 15.6 โดยผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เป็นกลุ่มหลักที่เสียชีวิต ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 62.3 รองลงมาคือ รถปิกอัพ ร้อยละ 13.6 ซึ่งพบว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตที่ขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ยังคงไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 92.2 เช่นเดียวกับสงกรานต์ที่ผ่านมาที่พบผู้เสียชีวิตที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 91 สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งปกติจะไม่สวมหมวกกันน็อกอยู่แล้ว จะยิ่งใช้โอกาสของเทศกาลสงกรานต์ไม่สวมหมวกกันน็อกมากขึ้น ทำให้โอกาสการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนด้านการบังคับใช้กฎหมาย นพ.ธนะพงศ์ ให้ข้อมูลว่า สามารถเรียกตรวจยานพาหนะได้ถึง 4,910,038 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 497,159 คัน และมีผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรการลดพฤติกรรมเสี่ยงรวม 646,837 ราย เทียบกับสงกรานต์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 145,244 ราย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.9 โดยพฤติกรรมเสี่ยงหลักที่ถูกเรียกตรวจ ได้แก่ เรื่องของการไม่สวมหมวกนิรภัย 202,956 ราย ขับรถเร็วเกินกำหนด 23,166 ราย และ เมาแล้วขับ 12,855 ราย
“ดังนั้นแม้ในภาพรวมเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจะลดลง แต่หากดูเป็นรายพื้นที่จังหวัดจะพบว่าบางจังหวัดกลับมีจำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องหาแนวทางแก้ปัญหาต่อไป และควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม โดยเฉพาะการตรวจเมาแล้วขับในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมเสี่ยงหลัก ที่แม้จะตรวจได้ถึง 12,855 ราย แต่เมื่อคิดเฉลี่ยการดำเนินคดี ยังคงจับกุมได้เพียง จังหวัดละ 24.5 คนต่อวัน เท่านั้น ในขณะที่มีคนดื่มและเมาแล้วขับอยู่เต็มถนน”นพ.ธนะพงศ์ กล่าวและว่า ที่สำคัญต้องเน้นให้มีการบังคับใช้กฎหมายทุกวันไม่เฉพาะช่วงเทศกาล รวมทั้งหาแนวทางเพิ่มความครอบคลุมในการสวมหมวกกันน็อกให้ได้ 100%
นพ.ธนะพงศ์ ยังเสริมอีกว่า หากเป็นไปได้ควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการความปลอดภัยในการเดินทางและเล่นน้ำสงกรานต์โดยใช้รถปิกอัพ เป็นยานพาหนะ เช่น มาตรการห้ามดื่มบนท้ายรถ หรือจำกัดการบรรทุกผู้โดยสารและสิ่งของเกินกำหนด รวมทั้งควบคุมความเร็ว และเพิ่มการรณรงค์ “ง่วงแล้วไม่ขับ”