- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- คลายปมเหลื่อมล้ำ"ผู้ประกันตน"ส่อวืด "สปส."เกียร์ว่าง-"ก.แรงงาน"เตะถ่วง
คลายปมเหลื่อมล้ำ"ผู้ประกันตน"ส่อวืด "สปส."เกียร์ว่าง-"ก.แรงงาน"เตะถ่วง
ย้อนกลับไปครั้น ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน จุดพลุรณรงค์ให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม “หยุดจ่าย” สมทบค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากมองว่าได้รับความเหลื่อมล้ำเพราะคนอีก 2 กลุ่ม คือผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ ได้รับการรักษาดีกว่าและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
9 มี.ค.ที่ผ่านมา น.ส.สารี อ๋องสมหวัง พร้อมสมาชิกชมรมร่วม 20 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อกระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) โดยแสดงเจตน์จำนง 3 ประการคือ 1.ตอกย้ำถึงความไม่เป็นธรรมและไม่เสมอภาคที่ผู้ประกันตนได้รับจากการจ่ายเงินสมทบ 2.เร่งรัดให้สปส.ยุติการเก็บเงินชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตีความ 3.ขอให้คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.) แสดงความชัดเจนต่อข้อเรียกร้องให้เร็วที่สุด
ระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ที่สปส.รับเรื่องไป ไม่ปรากฎความคืบหน้าของการดำเนินการ กระทั่ง “องค์การแรงงานแห่งประเทศไทย” ต้องทำหนังสือถึง นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน อีกครั้ง เพื่อขอคำตอบตามที่ชมรมพิทักษ์สิทธิฯ เรียกร้อง เสมือนหนึ่งใช้มวลชนกดดันให้บอร์ดสปส.แสดงท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใด
เช้าของวันที่ 23 มี.ค. นพ.สมเกียรติ จัดประชุมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้ที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน อาทิ ชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ผู้แทนสปส. ผู้แทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง ฯลฯ
บรรยากาศ การประชุมเป็นไปอย่างสับสน ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนจุดยืนของตัวเองโดยไม่รับฟังความเห็นของอีกฝ่าย ชมรมพิทักษ์สิทธิฯ และผู้แทนลูกจ้าง ยืนยันในหลักการว่าสปส.ไม่ควรเก็บเงินสมทบค่ารักษาพยาบาล และสปส.ต้องมีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรหลังจากนี้ ขณะที่ตัวแทนฝ่ายสปส.และผู้แทนกระทรวงแรงงาน คัดค้านหลักการข้างต้น
ที่สุดแล้วปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดสปส. ขมวดประเด็นว่า “จะนำข้อเรียกร้องในวันนี้เข้าสู่ที่ประชุมของบอร์ดสปส.เพื่อพิจารณาว่าควรเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่”
ทว่าข้อมูลในระเบียบวาระการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษากลับสรุป “ข้อเท็จจริง” ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ในลักษณะให้ข้อมูลด้านเดียว กล่าวคือเจาะจงเลือกเฉพาะความคิดเห็นที่ “สนับสนุน” ให้ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบต่อไป
รายงานการประชุม ระบุว่า 1.การให้ประชาชนที่มีความสามารถร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลจะทำให้เกิดความภูมิใจ ในทางตรงกันข้ามการไม่ร่วมจ่ายทำให้ประชาชนไม่เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว
2.ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 51 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนผู้มีความสามารถต้องดูแลตัวเอง ซึ่งหากพิจารณาทางด้านงบประมาณในทุกด้านพบว่ารัฐได้ใช้งบประมาณจ่ายให้แก่ ผู้ประกันตนในอัตรา 2.75 % เพื่อดูแลสวัสดิการ 7 เรื่อง รวมเป็นเงินกว่า 7,000 บาทต่อปี ซึ่งมากกว่าผู้ยากไร้ได้รับอยู่ในขณะนี้
3.หากศาลรัฐธรรมนูญได้ดีความแล้วก็จะต้องมีผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตามมา อย่างไรก็ตามในแง่ของกฎหมายเมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องปฏิบัติตาม กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันก่อน ทั้งนี้หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกันสังคมขัดต่อรัฐ ธรรมนูญก็อาจมีผู้ร้องเรียนต่อว่าเหตุใดรัฐจึงต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อสิทธิ ประโยชน์จากระบบประกันสังคมกรณีอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีเจ็บป่วยให้เฉพาะแต่ผู้ประกันตน
4.การสร้างความประทับใจและความพึงพอใจในการให้บริการทางการแพทย์ของระบบประกัน สังคมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะส่งผลดีต่อสิทธิประโยชน์กรณีอื่นๆ ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคมควรเร่งพิจารณาถึงการควบคุมคุณภาพการรักษาพยาบาล ของโรงพยาบาลประกันสังคมทุกแห่งให้ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลต่างๆ มีนโยบายเพื่อที่จะจำกัดต้นทุนในการรักษาพยาบาลให้ได้ผลกำไรสูงสุด จึงทำให้คุณภาพในการรักษาด้อยลง หรืออาจนำเงินสมทบกรณีเจ็บป่วยไปซื้อประกันสุขภาพของภาคเอกชนแทน
5.ภารกิจสำคัญของสำนักงานประกันสังคม คือการประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนเข้าใจสิทธิประโยชน์ เพราะผู้ประกันตนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการริดรอนสิทธิ 6.ควรปฏิรูประบบภาษีของประเทศให้มีประสิทธิภาพซึ่งหากทำสำเร็จจะได้ไม่ต้องมีการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ ที่ซ้ำซ้อนกัน
เปรียบดัง “สัญญาณ” ที่ถูกส่งออกมาให้รับรู้ถึง “จุดยืน” ของกระทรวงแรงงาน
เรื่อยมาถึงวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.) ได้จัดประชุม โดยวันนั้นกลับไม่มีการหยิบยกกรณีชงศาลรัฐธรรมนูญตามที่ นพ.สมเกียรติ ประกาศไว้ครั้งก่อน แต่บรรยากาศการประชุมตลอด 3 ชั่วโมงคงเป็นไปอย่างคุกรุ่น นั่นเพราะที่ประชุมได้หารือเพื่อพิจารณาแต่งตั้งตัวแทนสำหรับไปเจรจากับสปสช.ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
“ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งหนังสือมาให้ผมว่าการเก็บเงินสมทบขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 50 เขาระบุชัดว่าขัด และให้บอร์ดดำเนินการแก้ไข ผมจึงขอเตือนว่าหากรัฐมนตรียังดื้อ ปลัดกระทรวงยังดื้อ ไม่ยอมแก้ปัญหา ผู้ประกันตนเขาอาจใช้สิทธิฟ้องร้องเรื่องละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา157 ได้” นายประสิทธิ์ จงอัศนากุล ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค หนึ่งในบอร์ดสปส.ขมวดประเด็นด้วยน้ำเสียงจริงจัง และยืนยันว่า สปส.จำเป็นต้องไปเจรจากับสปสช.หากไม่เข้าร่วมจะเท่ากับละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ขณะที่ นายพนัส ไทยล้วน ประธานองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย ในฐานะบอร์ดสปส. เสนอว่า ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้สิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ มากกว่าบัตรทอง และเท่าที่เก็บข้อมูลก็ทราบว่าผู้ประกันตนยินดีที่จะจ่ายเงินสมทบต่อไป ดังนั้นสปส.จึงไม่จำเป็นต้องไปหารือกับสปสช. เพราะหากไปหารือร่วมกันจริงก็มีโอกาสที่จะถูกลากกองทุนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กับกองทุนรักษาพยาบาล
ด้าน นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสปส. เห็นว่า ผู้ ตรวจการแผ่นดินไม่ได้มีอำนาจที่จะชี้ถูกชี้ผิด จึงยังไม่รู้ว่าสปส.ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผู้ที่จะชี้ขาดได้คือศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น สปส.จึงควรรอไปเรื่อยๆ จนกว่าเรื่องจะสิ้นสุดที่ชั้นศาล
แม้ว่าท้ายที่สุด บอร์ดสปส.มีมติแต่งตั้งตัวแทน 3 คนเพื่อเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ประกอบด้วยนายประสิทธิ์ นายพนัส และตัวแทนจากสปส.อีก 1 คนซึ่งยังไม่ได้กำหนด แต่จะเห็นว่ามติของบอร์ดกระทำไปด้วย “เกรงอาญา” มากกว่าต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น
มากไปกว่านั้นคือ ท่าทีของนายปั้นที่ต้องการรอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าการเก็บเงินสมทบผิด กฎหมายหรือไม่ แต่กลับไม่มีการนำมาหารือในที่ประชุม โดยจะรอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้ดำเนินการ
คำถามคือเป็นการประวิงหรือไม่ เพราะนายปั้นจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนมิ.ย.นี้
นอกจากนี้แม้นายเฉลิมชัย มีแนวคิดให้ทำโพลล์สำรวจความคิดเห็นของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ต้อง การเปลี่ยนสิทธิมาใช้ระบบบัตรทอง แต่นายปั้นกลับระบุว่า ยังไม่สามารถดำเนินการทำโพลล์ได้ เนื่องจากต้องรอความชัดเจนของการแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่อยู่ในรัฐสภา เพราะกฎหมายฉบับใหม่ยังไม่ชัดเจนเรื่องสิทธิภรรยาและบุตรของผู้ประกันตน
นาย ปั้น อธิบายว่า ในกระบวนการทำโพลล์ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องของบประมาณจากที่ประชุมบอร์ดสปส. ซึ่งส่วนตัวมองว่าการทำโพลล์ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ ขณะที่ นพ.สมเกียรติ ระบุว่า มอบให้นายปั้นเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าแต่อย่างใด ยืนยันว่านายปั้นสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านบอร์ดสปส.
คล้ายกับว่าภาพการแก้ปมเหลื่อมล้ำแก่ผู้ประกันตนกำลังเดินหน้า แต่ข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้ามคือไม่มีกระบวนการใดจับต้องได้อย่างเป็นชิ้น เป็นอัน นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นถึง “จุดยืน” ที่แท้จริงของผู้มีอำนาจในสปส.
คำถามคือ ถึงเวลาที่ผู้ประกันตนต้องดำเนินการเพื่อรักษาสิทธิของตัวเองแล้วหรือยัง