- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เขตวัฒนธรรมพิเศษชาวเล ความหวังที่ดูเลือนลาง
เขตวัฒนธรรมพิเศษชาวเล ความหวังที่ดูเลือนลาง
ภายหลังครม.มีมติให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาชาวเลที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา สตูล และระนอง ด้วยมาตรการ 10 ข้อตามคำขอของชาวเล อันได้แก่ 1.ให้ความมั่นคงในที่อยู่อาศัยด้วยการพิสูจน์สิทธิ์และออกโฉนดชุมนุมให้ใช้ที่ดินร่วมกันในชุมนุม 2.ควรมีการกำหนดเขตพื้นที่พิธีกรรมหรือสุสานให้ชัดเจน 3.ควรสร้างความเข้าใจในกติกาการจับสัตว์น้ำ 4.มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี
ส่วนมาตรการที่ 5.ให้มีการฟื้นฟูสุขภาพชาวเล 6.ให้ชาวเลมีบัตรประชาชน 7.ควรส่งเสริมการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมชาวเล 8.การยกระดับศูนย์วัฒนธรรมชาวเลให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของชุมชน 9.ยกระดับอาชีพด้วยการจดทะเบียนเรือประกอบอาชีพให้เป็นมรดกทางภูมิปัญญา และ10.การตั้งสถาบันที่เป็นองค์การมหาชน พร้อมกองทุนแก้ปัญหาชาวเลภายใต้แนวคิดเขตวัฒนธรรมชาวเล โดยมาตรการเหล่านี้เพื่อเป็นการดูแลวิถีชีวิตและแก้ปัญหาชาวเลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
หลังรัฐบาลออกมติครม.ดังกล่าว ดูเหมือนคำมั่นดังกล่าวจะทำให้ชาวเลกว่า 1 หมื่นคน รู้สึกแช่มชื่นหัวใจไม่น้อย ต่างเฝ้ารอให้วันนั้นมาถึง !!
แต่จนแล้วจนรอด มติ ครม.ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2553 ว่าด้วยเรื่องสำคัญๆ ก็ยังไม่ถูกปฏิบัติ จะมีแต่ก็แต่การอนุมัติงบสร้างอาคารสถานที่เพื่อตั้งให้เป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษที่ จ.ภูเก็ต ตามแบบฉบับของรัฐ โดยไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาของชาวเลเลย
การแก้ไขปัญหาอย่างไม่เข้าใจประเด็นปัญหานำมาสู่การตั้งคำถามจาก “ชาวเล” ว่า รัฐอยู่ไหน ทำไมไม่ดำเนินการตามสัญญา โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ใกล้จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่แล้ว รัฐบาลชุดเก่ากำลังจะไป รัฐบาลชุดใหม่กำลังจะมา แต่ปัญหาชาวเลก็ยังไม่ถูกแก้ไข
ซ้ำร้ายชาวเลที่หาดราไวย์ จ.ภูเก็ตกว่า 7 ครอบครัวกำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและถูกไล่รื้อจากเจ้าของที่ดินที่อ้างสิทธิ์การครอบครองตามโฉนดที่ออกให้โดยทางราชการ ยิ่งทำให้ปัญหาชาวเลที่มีมากอยู่แล้ว กลายเป็นปัญหาที่ซ้อนทับขึ้นมาอีก
เรื่ องนี้ “สนิท แซ่ซั่ว” แกนนำชาวบ้านหาดราไวย์และ 1 ในครอบครัวที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่ดิน เล่าว่า ชาวเลหา ดราไวย์มีปร ะชากรจำนวนกว่า 200 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ปลูกบ้านโดยไม่มีเอกสิทธิ์ เพราะต่างคิดว่า เราอยู่มานานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายไม่น่าจะมีปัญหา กระทั่งภายหลังเหตุการณ์สึนามิ หลายคนพลัดพรากจากที่อยู่อาศัยเพราะภัยธรรมชาติ เมื่อกลับมาในพื้นที่กลับปรากฎว่า พื้นที่ดังกล่าวถูกครอบครองจากนายทุนแล้ว อีกทั้งบางคนก็ไม่ทะเบียนบ้านและไม่มีบัตรประชาชน ดังนั้นการจะมีเอกสิทธิ์จึงเป็นเรื่องยาก เพราะแม้แต่จะขอใช้ระบบสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้า น้ำประปา ยังทำไม่ได้
“เมื่อถูกฟ้องร้องไล่ที่ หลายคนจึงยอมรับชะตากรรม เพราะพวกเราเป็นเพียงชาวเล ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้กับหลวงและนายทุน แต่ใจลึกๆ ก็หวังว่า หากพวกเราจะผลักดันให้พื้นที่ของชาวเลเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมสำเร็จ เมื่อนั้นพวกเราจะถูกรังแกน้อยลง”สนิท เล่า
เขายังกล่าวอีกว่า พื้นที่วัฒนธรรมชาวเลที่พวกเขาหวังนั้นจะถือเป็นพื้นที่ที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตภายใต้วิถีของชาวเลอย่างปกติสุข เด็กๆ จะได้เรียนรู้ภาษาชาวเล พอโตขึ้นพวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีการหาปลาอย่างชาญฉลาดตามแบบฉบับชาวเล ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะสามารถปกป้องวัฒนธรรมที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษไม่ให้สูญหายไปพร้อมกับการพัฒนา โดยเฉพาะการฟ้อนร็องแง็งเอาไว้ได้
“สิ่งหนึ่งที่พวกเราจำเป็นจะต้องรักษา คือ พื้นที่ฝังศพของบรรพบุรุษที่วันนี้ที่ดินอันเคยเป็นสุสานถูกแปรสภาพเป็นสถานตากอากาศของคนรวย ที่เราก็รู้ว่า คนที่มาพักเขาคงไม่รู้หรอกว่า พื้นที่นั้นเคยมีไว้ทำอะไร แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการที่นายทุนเข้าจับจองโดยมีรัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้ ทั้งนี้พวกเราก็ได้แต่หวังว่า ภายหลังจากการผลักดันพื้นที่ทางวัฒนธรรมแล้วเสร็จ พื้นที่ที่มีไว้สำหรับเป็นสุสานจะได้รับการปกป้อง” เขา กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ขณะ ที่นายศรีศักดิ์ วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และกรรมการปฏิรูป กล่าวว่า ปัจจุบันการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวเลเรียกได้ว่า ถูกทำลายจากวัฒนธรรมจากภายนอกโดยสิ้นเชิง โดยชาวเลมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ให้รอดในสังคมยุคโลกา วิวัฒน์ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่รัฐไทยไม่เคยเห็นความสำคัญของความเป็นพหุรัฐที่ มีกลุ่มผู้คนที่มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากคนไทยภาคกลาง ที่ผ่านมารัฐไทยจึงไม่เคยปกป้องผู้มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง ดังจะเห็นว่า ทั้งอดีตและปัจจุบันชาวเลยังถูกนายทุนและรัฐรังแก อีกทั้งมีมาตรการบังคับให้พวกเขาทันโลกโดยไม่ปกป้องพวกเขาอย่างที่ควรจะเป็น
“ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลชุดนี้มีแนวคิดกำหนดพื้นที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ด้วยการส่งเสริมให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้วัฒนธรรมชาวเล แต่น่าเสียดายที่แนวคิดดังกล่าวยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก ทั้งนี้หวังว่า กระทรวงวัฒนธรรมจะมีความกล้าหาญในการผลักดันแนวคิดการสร้างวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม”นักวิชาการผู้นี้ กล่าว
ทางด้าน น.ส.นฤมล อรุโณทัย รองผู้อำนวยการจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทำวิจัยเรื่องชาวเลมากว่า 15 ปี โดยวันนี้เธอได้รับมอบหมายจากกระทรวงวัฒนธรรมให้ทำหน้าที่ศึกษาและพิจารณาเรื่องเขตวัฒนธรรมพิเศษชาวเลและกระเหรี่ยง เธอเล่าว่า ภายหลังครม.มีมติเกี่ยวกับชาวเลจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการคืนพื้นที่ที่เคยเป็นสุสานของชาวเลนั้นก็ติดขัดข้อกฎหมาย เนื่องจากที่ดินดังกล่าวถูกออกเป็นโฉนดออกให้เอกชนไปแล้ว อีกทั้งพบว่า หลังจากเหตุการณ์สึนามิพื้นที่ที่เป็นหมู่บ้านของชาวเลบางส่วนถูกเอกชนครอบครองโดยมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง
“ประเด็นนี้ยากแก่การแก้ไข เพราะเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย แม้ชาวเลจะบอกว่าเป็นผู้อยู่มาก่อนแต่ชาวเลไม่มีลักษณะการครอบครองในรูปแบบของกฎหมายและมีพฤติกรรมการอพยพโยกย้ายบ่อยครั้งจึงเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับทางราชการ ดังนั้นเรื่องนี้อาจจะพิจารณาว่า ควรมีการแก้ไขกฎหมายและต้องพิจารณากันในเชิงประเด็นมากกว่านี้ โดยอาจจะขอซื้อที่ดินคืนจากเอกชน แต่อาจจะเจรจาขอซื้อในราคาที่ไม่ใช่ราคาตลาด แต่เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมของเจ้าของที่ดินด้วย” รศ.นฤมล กล่าว
นักวิชาการผู้นี้ กล่าวอีกว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯ กำลังศึกษาหาแนวทางเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือในประเด็นเรื่องด่วน โดยเฉพาะพื้นที่หาดราไวย์นั้นจำเป็นต้องดูแลเรื่องสาธารณูปโภคก่อน เพราะตอนนี้ชาวเลส่วนใหญ่ยังไม่ไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ เนื่องจากไม่มีทะเบียนบ้านและไม่มีบัตรประชาชน แต่การจะแก้ไขปัญหาตามที่ชาวเลเรียกร้องนั้นมองว่า ต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะหลายข้อเรียกร้องติดขัดข้อกฎหมายเต็มไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าต้องใช้เวลาอีกเช่นกัน คือ ความเข้าใจของหน่วยงานราชการที่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม รวมถึงการเห็นความสำคัญที่ต้องกันพื้นที่เขตวัฒนธรรมของชาวเลให้เป็นพื้นที่เฉพาะ
“การจะสร้างเขตวัฒนธรรมพิเศษขึ้นมานั้นเราคงต้องนำผลการศึกษาจากหลายๆ ประเทศมาพิจารณาและปรับใช้เป็นรูปแบบของเราว่าจะสามารถดูแลและจัดการความแตกต่างอย่างไร เพราะเรื่องนี้จะคิดเร็วๆ ไม่ได้”น.ส.นฤมล กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตามชาวเลกว่าหมื่นคนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลอันดามันก็ได้แต่หวังว่า หน่วยงานรัฐจะเห็นความสำคัญและให้คืนคุณค่าแห่งชีวิตแก่พวกเขา พร้อมกับเห็นความสำคัญในฐานะผู้มาก่อนในผืนดินบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงลูกหลาน
ทั้งนี้ก็ได้แต่หวังว่า รัฐจะไม่ปล่อยให้พวกเขาให้ร้องเพลงรอ..จนถูกลืมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา !!
แบบไหนคือเขตวัฒนธรรมพิเศษ ดร.นฤมล อรุโณทัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนา ‘นักมานุษยวิทยามองสังคมไทยร่วมสมัย’ หัวข้อ ‘เขตวัฒนธรรมพิเศษกับศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์’ ณ ห้องประชุม 207 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) เมื่อเร็วๆนี้ ว่า ‘ชาวเล’ ทั้งกลุ่มมอแกน มอแกลน อูรักลาโว้ยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง พังงาภูเก็ต ตรัง สตูล ประมาณ 10,000 คน กำลังประสบปัญหาการไร้รัฐ ขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ถูกกีดกันในการใช้และการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ กระทั่งไม่สามารถทำมาหากินได้ ขณะเดียวกันยังถูกดูแคลนจากผู้ที่ไม่เข้าใจในวิถีวัฒนธรรมแบบชาวเลอีกด้วย “การ แก้ปัญหาดังกล่าว จึงควรใช้แนวคิดเขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่และความเข้มแข็งของชุมชนพื้นเมือง โดยการคุ้มครองพื้นที่ทำมาหากิน พื้นที่ทางจิตวิญญาณ รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรม การศึกษาเรียนรู้ เช่น การมีหลักสูตรท้องถิ่น ศูนย์วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างกลุ่ม ชาติพันธุ์ต่างๆ” ส่วน แนวทางการดำเนินงานนั้น ดร.นฤมล กล่าวว่า การจะจัดทำเขตวัฒนธรรมพิเศษกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวเลไม่ควรดำเนินการในลักษณะสูตรตายตัว แต่จะต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับใช้ให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิต วัฒนธรรมของแต่ละชุมชน เนื่องจากการกำหนดเขตวัฒนธรรมพิเศษเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ จึงควรเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นที่รอบด้าน แต่ทั้งนี้ จะต้องป้องกันการครอบงำด้านความคิดจากหน่วยงานหรือองค์กรที่มุ่งแสวงกำไร และนำวัฒนธรรมไปใช้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงพาณิชย์ “การ ดำเนินการทุกรูปแบบจะต้องเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้ จริง โดยจะต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์และความเฉพาะของพื้นที่ รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน ก่อนขยายผลต่อไป” ดร.นฤมล กล่าว และว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่เคยมีเจ้าภาพ ซึ่งเป็นหน่วยงานประจำที่ดูแลด้านชนพื้นเมืองโดยตรง มีแต่เพียงหน่วยงานเล็กๆ ในกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เท่านั้นที่ดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งหากกระทรวงวัฒนธรรมเข้ามาจับและดูแลเพิ่มเติม โดยใช้แนวคิดว่าวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่รำไทย ช้างไทย ศาลาไทย จะเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่สะท้อนว่า เราเห็นประโยชน์ของความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม” |