- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ขอของขวัญโดนใจ “วันแรงงาน”
ขอของขวัญโดนใจ “วันแรงงาน”
1 พฤษภาคม 2554 นับเป็นวันแรงงานที่ตรงกับช่วงระยะเวลาแห่งการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ อย่างคึกคัก ภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แย้มว่าจะยุบสภาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
แต่ละพรรคการเมืองต่างประกาศสู้ศึกเลือกตั้งอย่างเต็มอัตราศึก เห็นได้ว่า ทุกพรรคพร้อมเลือกตั้งและเข็นนโยบายออกมาเอาใจมวลประชากันอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่เอาใจกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่แต่ละพรรคต่างประกาศ “จัดเต็ม”
ทว่านโยบายเหล่านั้นก็มีเสียงวิพากษ์กันอย่างหนาหูว่า “ทำยากและอาจเป็นไปไม่ได้”
วอนสร้างสวัสดิการสังคมเพื่อคุณภาพแรงงาน
“จิตรา คชเดช” อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ผู้ที่ชูป้าย "ดีแต่พูด" ประท้วง นายอภิสิทธิ์ ระหว่างร่วมประกาศเจตนารมณ์ในวาระเฉลิมฉลอง 100 ปี วันสตรีสากล ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา วิพากษ์เรื่องนี้ว่า
“จากที่เห็นนโยบายด้านแรงงานของพรรคการเมืองตอนนี้มีเพียงสองพรรคเท่านั้นที่เห็นเด่นชัด คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนโยบายว่า จะปรับค่าจ้างขึ้นเป็น 25 % ภายใน 2 ปี และพรรคเพื่อไทยที่จะเพิ่มค่าจ้างเป็น 300 บาทนั้นต้องบอกว่า ความจริงการเพิ่มค่าจ้างให้กับแรงงานมากแค่ไหนก็ไม่เพียงพอ เพราะตราบใดที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรายได้ของแรงงานหมดไปกับค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเลี้ยงดูลูกและเลี้ยงดูพ่อแม่
วิธีแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงาน รัฐบาลต้องพูดถึงเรื่องการสร้างสวัสดิการสังคมให้กับคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการเรียนฟรีที่ควรทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลสามารถหารายได้จากการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีนักลงทุนเพื่อนำมาสร้างสวัสดิการที่ดีให้กับคนในประเทศ เพราะตอนนี้มีนักลงทุนต่างประเทศจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนในเมืองไทยแล้วไม่เสียภาษี เพราะสำนักงานส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอไม่เก็บภาษีบุคคลเหล่านี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องกล้าหาญที่จะทำเรื่องนี้อย่างแน่ชัด”
เธอยังบอกอีกว่า นอกจากนี้ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดมีนโยบายเรื่องให้สิทธิผู้ใช้แรงงานนอกถิ่นฐาน เช่น คนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง มีสิทธิ์เลือก ส.ส.หรือตัวแทนในเขตที่เขาเหล่านั้นอยู่อาศัย เพราะสิทธิ์การเลือกตั้งถูกกำหนดตามทะเบียนบ้าน ทั้งที่บางคนออกจากถิ่นฐานมาทำงานในเมืองเป็นเวลา 20 ปีจึงทำให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจต่อรองกับพรรคการเมืองในเขตที่เขาอยู่อาศัย ถือว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ดังนั้นการจะเพิ่มอำนาจให้กับผู้ใช้แรงงานต้องให้สิทธิทางการเมืองเพื่อต่อรองกับพรรคการเมืองในท้องถิ่นที่เขาอาศัยอยู่
อย่าแค่หาเสียงก่อนเลือกตั้ง
ทางด้านนายชาลี ลอยสูง กรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย มองว่า จากที่เห็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ออกแคมเปญในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการปรับอัตราค่าจ้างที่มองผิวเผินถือเป็นเรื่องดึงดูดใจกลุ่มผู้ใช้แรงงานแบบชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ถือว่าเป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานอย่างแท้จริง พรรคการเมืองควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่านี้
โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพชีวิต ก่อนที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะประกาศออกมาเป็นนโยบายควรสำรวจรายได้-รายจ่ายที่เป็นจริงของกลุ่มผู้ใช้แรงงานว่า เป็นอย่างไร แล้วค่อยกำหนดอัตราที่เหมาะสม
“จากที่เราได้สำรวจกลุ่มผู้ใช้แรงงานในทุกนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศเมื่อปี 2552 พบว่า รายได้ที่เป็นธรรมน่าจะอยู่ที่ 421 บาท ตอนนี้รายได้ของแรงงานเกิดความไม่เป็นธรรมจึงทำให้พวกเขาต้องเพิ่มเวลาการทำงานให้มากขึ้นเพื่อจะได้ค่าจ้างให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เป็นจริง แม้พรรคการเมืองจะประกาศเพิ่มค่าจ้างให้เป็น 250 หรือ 300 บาทก็วันก็ไม่เพียงพออยู่ดี หากไม่มีนโยบายปรับค่าจ้างให้เป็นไปตามหลักโครงสร้างค่าจ้างที่ควรจะเป็นและควรมีนโยบายที่ส่งเสริมให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
กรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า ทั้งนี้รู้สึกแปลกใจที่พรรคการเมืองให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีพรรคการเมืองใดเห็นความสำคัญกับกลุ่มผู้แรงงาน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้ให้สิทธิกับผู้สิทธิ์เลือกตั้งเลือกกากคะแนนให้กับพรรคการเมืองในแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะทำให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานมีสิทธิ์เทคะแนนให้พรรคนั้นๆ ได้ นอกเหนือจากการกาเลือก ส.ส.เขต ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีกว่า 9 ล้านคนอาจจะเทคะแนนเลือกพรรคที่มีนโยบายโดนใจได้
แปลกใจพรรคการเมืองสนใจลูกจ้าง
ส่วน นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ นักเคลื่อนไหวด้านแรงงานและผู้อำนวยการมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน ให้ข้อสังเกตว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองมีนโยบายเพื่อกลุ่มผู้ใช้แรงงาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้การจะขอปรับขึ้นค่าแรงแต่ละครั้ง จะต้องให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานออกมารวมตัวเคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงให้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้หลายพรรคการเมืองอาจจะมองว่า กลุ่มลูกจ้างถือเป็นฐานเสียงสำคัญที่จะส่งผลต่อคะแนนเสียงจึงได้มีนโยบายขึ้นค่าแรงให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แทนที่จะเป็นนโยบายที่เอาใจเฉพาะเกษตรกรอย่างที่เคยเป็น
“แม้การมีนโยบายแบบนี้จะถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับลูกจ้าง แต่ผมกลับมองว่า การที่พรรคการเมืองประกาศออกมาแบบนี้ในทางปฏิบัติทำได้ยากหรืออาจทำไม่ได้เลย เพราะการปรับขึ้นค่าแรงนั้นผูกติดกับคณะกรรมการค่าจ้างกลางและคณะกรรมการไตรภาคีที่จะต้องนำผลการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างแต่ละจังหวัดเป็นผู้เสนอมา ซึ่งสัดส่วนของคณะอนุกรรมการแต่ละจังหวัดไม่มีทางที่จะเสนอขึ้นค่าจ้างแบบก้าวกระโดดได้ เพราะสัดส่วนของลูกจ้างมีน้อยกว่านายจ้างและตัวแทนจากข้าราชการ อีกทั้งตัวแทนของลูกจ้างก็เป็นผู้ไม่ค่อยมีพลังเพียงพอในการผลักดันให้ขึ้นค่าจ้าง
กลไกเช่นนี้จึงทำให้เห็นว่า การจะปรับขึ้นค่าแรงหรือไม่อยู่ที่ขั้นตอนและกระบวนการ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองหรือรัฐบาล ซึ่งการที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าจะปรับขึ้นค่าแรง 25 % นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะตามปกติการจะขึ้นค่าแรงตามธุรกิจต่างๆ ขึ้นได้ไม่เกิน 10 % เท่านั้นและการพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะขึ้นเป็น 300 บาททั่วประเทศนั้นจึงไปไม่ได้เข้าไปอีก”นายบัณฑิต กล่าว
นักเคลื่อนไหวด้านแรงงานยังกล่าวอีกว่า หลายปีที่ผ่านการขึ้นค่าจ้างไม่ได้ขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อหรือภาวะเศรษฐกิจที่ควรจะเป็น แต่ขึ้นเพราะการเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทุกครั้งกลุ่มนายทุนก็จะออกมาคัดค้านและอ้างว่าการขึ้นค่าจ้างจะทำให้ต้นทุนสินค้าแพงขึ้น ทั้งที่ความจริงต้นทุนที่มาจากค่าแรงของลูกจ้างมีเพียงแค่ 10 % เท่านั้น แต่ที่ผ่านมานายทุนก็ไม่ยอมให้ลูกจ้างได้รับสิทธิการได้ค่าตอบแทนตามที่ควรจะเป็นตามหลักสากลที่แรงงานหนึ่งคนสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่กลับให้ลูกจ้างทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ค่าแรงขึ้นและได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าภาวะเงินเฟ้อเหมือนปัจจุบัน
ได้ฟังอย่างนี้พรรคการเมืองควรชั่งใจและตระหนักให้มากว่า ไม่ควรใช้แรงงานมาเป็นฐานเสียงชั่วคราวในการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ควรทำนโยบายให้เป็นจริงและคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานอย่างแท้จริง