- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เชื่อมเครือข่ายรพ.รัฐเพื่อประกันสังคม ผู้ประกันตนยิ้ม – หน่วยบริการร้อง?
เชื่อมเครือข่ายรพ.รัฐเพื่อประกันสังคม ผู้ประกันตนยิ้ม – หน่วยบริการร้อง?
นาทีนี้ชัดเจนแล้วว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ผู้ดูแลระบบสุขภาพให้กับผู้ประกันตน 9.4 ล้านคน กำลัง “ดิ้นพล่าน” และพยายามปรับตัวเพิ่มสิทธิประโยชน์ครั้งใหญ่ เนื่องจากถูกกระแสกดดันจากผู้ประกันตน นักวิชาการ และสื่อมวลชนอย่างรุนแรง ด้วยเหตุเป็นระบบประกันสุขภาพเดียวที่เปิดให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายเงินสมทบ แต่กลับให้บริการด้อยกว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งรัฐเป็นผู้อุดหนุนทั้งสิ้น
นอกจากสิทธิประโยชน์ชุดใหญ่ซึ่งปรับขึ้นให้ช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และอนุมัติเพิ่มให้อีกระลอกช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ สปส.ยังได้สร้างเครือข่ายร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อสอดประสานการบริการผู้ประกันตนให้ได้รับความสะดวกสบายมากกว่าผู้ใช้สิทธิบัตรทอง
นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ร่วมหารือกับ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดสธ.เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายโรงพยาบาลในสังกัดสำนักปลัดสธ.ทุกแห่งในประเทศไทยให้เป็นระบบเดียว คาดหวังให้ผู้ประกันตนราวๆ 3.8 ล้านคน ซึ่งเลือกใช้สิทธิเดิมยังสถานพยาบาลสังกัดสธ.สามารถไปใช้บริการในโรงพยาบาลใดก็ได้
หลักการของแนวความคิดนี้คือ หลังจากเจรจาสำเร็จผู้ประกันตนที่เลือกโรงพยาบาลสังกัดสธ.เป็นโรงพยาบาลต้นสังกัด เมื่อเจ็บป่วยในพื้นที่ใดก็สามารถเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลสังกัดสธ.แห่งใดก็ได้ทันที ส่วนผู้ประกันตนที่เลือกโรงพยายาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลต้นสังกัด ยังคงต้องรักษากับโรงพยาบาลแห่งนั้นเพียงแห่งเดียว
“คาดว่าในเดือนมิ.ย.จะมีความชัดเจนในกรอบต่างๆ และจะลงนามเอ็มโอยูกับสธ.อีกครั้ง”นพ.สมเกียรติ ระบุ และว่า สปส.จะสนับสนุนเงินแก่โรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาเกินงบรายหัวที่ได้รับจากสปส.ในแต่ละปี เหมือนเป็นการประกันความเสี่ยงไม่ให้โรงพยาบาลขาดทุน รวมืทั้งจะลงทุนระบบไอทีแก่สธ.เพื่อให้การเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“แนวคิดนี้จะช่วยให้ผู้ประกันตนมีความสะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยเหลือโรงพยาบาลขนาดเล็กที่มีโควต้ารายหัวน้อยและเสี่ยงต่อการขาดทุน โดยโรงพยาบาลเหล่านี้จะไม่ขาดทุนและจะอยู่ในระบบประกันสังคมต่อไป”คุณหมอสมเกียรติยืนยัน
ปลัดกระทรวงแรงงาน ขายฝันต่ออีกว่า หากเป็นไปได้ในอนาคตจะทำการเชื่อมโยงระบบโรงพยาบาลเอกชน โรงเรียนแพทย์สังกัดมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลทหารสังกัดกลาโหม รวมถึงโรงพยาบาลสังกัดกทม.ด้วย
ขณะที่นพ.ไพจิตร์ ขยายความว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงานร่วม 2 กระทรวง เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิ การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการ การเพิ่มขึ้นของงบประมาณในแต่ละหน่วยบริการ นอกจากนี้จะจัดหารือในรายละเอียดอื่นๆ เช่น การกระจุกตัวของการรักษาพยาบาล วิธีการตามจ่ายเงิน
มีการตั้งข้อสังเกตจาก นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภาว่า นโยบายการเชื่อมโยงโรงพยาบาลครั้งนี้อาจเกิดปัญหาได้ โดยเฉพาะการกระจุกตัวของผู้ใช้บริการซึ่งจะส่งผลต่อการรักษา เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลสังกัดสธ.กำลังแบกรับภาระการให้บริการเกินกว่าขีดความสามารถที่จะรับได้ นั่นเพราะบุคลากรทางด้านสาธารณสุข อาทิ แพทย์ พยาบาล ไม่เพียงพอ หากมีผู้ประกันตนร่วม 4 ล้านคนไปใช้บริการ อาจทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลต่ำลง อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการของแต่ละโรงพยาบาลด้วย
นพ.อิทธพร บอกว่า เดิมทีโรงพยาบาลมีผู้ประกันตนสิทธิใดก็จะจัดบริการให้สิทธินั้นอย่างเต็มศักยภาพเพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบ เมื่อดูแลและควบคุมจำนวนผู้ป่วยให้น้อยลงได้โรงพยาบาลก็จะได้กำไร แต่เมื่อเชื่อมต่อระบบรวมกันแล้ว โรงพยาบาลอาจประสบภาวะขาดทุนได้ง่าย โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายโรคเรื้อรัง การผ่าตัด ทั้งนี้แม้ว่าสปส.จะยืนยันที่จะประกันความเสี่ยงให้ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนของตัวระบบ
รองเลขาธิการแพทย์สภา กล่าวด้วยว่า หากมีการเชื่อมต่อระบบโรงพยาบาลจริงควรจะมีองค์กรกลางสำหรับจัดสรรค่าใช้จ่าย รวมถึงการตามจ่ายให้โรงพยาบาลที่ได้รับการส่งต่อ โดยองค์กรนี้มีลักษณะคล้ายกับบริษัทประกันภัย ซึ่งจะจ่ายให้โดยกำหนดเพดาน
“ผมคิดว่าผู้ประกันตนจะได้รับความสะดวกสบายขึ้นมาก และหากสปส.มีความชัดเจนเรื่องประกันความเสี่ยง ทำให้โรงพยาบาลที่รักษาผู้ประกันตนมากยิ่งได้เงินมาก ในไม่ช้าโรงพยาบาลก็จะพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยประกันตนมากขึ้น แต่ที่ต้องคำนึงคือปัญหาการขาดทุน และคุณภาพการรักษาที่อาจจะกระทบผู้ป่วยเดิม”นพ.อิทธพร ย้ำเตือน
อย่างไรก็ตาม หากพิเคราะห์โดยหลักการเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดจะตกอยู่กับผู้ประกันตน 3.8 ล้านคนซึ่งเลือกโรงพยาบาลสังกัดสธ.เป็นต้นสังกัด ขณะที่สปส.ก็สามารถลบข้อครหาสิทธิประโยชน์และการให้บริการที่ด้อยกว่าบัตรทองได้ส่วนใหญ่
ทว่าเมื่อลงลึกในรายละเอียด กลับพบ “ปม” ที่มัดกับระบบการเงินและสภาพคล่องของโรงพยาบาลไว้แน่น คำถามคือโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะ “เจ๊งระเนระนาด” อีกหรือไม่
นั่นเพราะตามปกติ สปส.จะส่งเงินเหมาจ่ายรายหัว (ประมาณ 2,300 บาทต่อคนต่อปี) ไปยังโรงพยาบาลตามจำนวนผู้ประกันตน นั่นหมายความว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีผู้ประกันตนมากก็จะได้รับมากกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็กหรือโรงพยาบาลชุมชน
จากนั้น เมื่อทำการเชื่อมโยงโครงข่ายโรงพยาบาลเข้าด้วยกันแล้ว เมื่อผู้ประกันตนที่เลือกสิทธิในโรงพยาบาลขนาดเล็กกลับไปเลือกหรือเจาะจงใช้บริการจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีความน่าเชื่อถือว่า โรงพยาบาลขนาดเล็กซึ่งได้รับเงินเหมาจ่ายรายหัวมา ก็ต้องนำเงินส่วนนี้ไปตามจ่ายให้กับโรงพยาบาลใหญ่เหล่านั้น
จึงไม่ต่างอะไรกับเงินเข้ากระเป๋าซ้ายออกกระเป๋าขวา ไม่หลงเหลือพอให้ใช้หมุนหรือพัฒนาใดๆ
แม้ว่าสปส.จะประกันความเสี่ยงให้ทุกโรงพยาบาล แต่ต้องยอมรับความจริงว่าปัญหาการขาดทุนของโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นขนาดใดก็ตาม ล้วนแต่เกี่ยวโยงกับระบบประกันสุขภาพแทบทั้งสิ้น ย้อนกลับไปช่วงกลางปี 2553 เกิดกระแสข่าวเรื่องโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จำเลยในตอนนั้นคือระบบบัตรทอง
นพ.เสรี หงษ์หยก รองปลัดสธ.ฝ่ายบริหาร ในขณะนั้น ยืนยันว่า บัตรทองเป็นตัวการหลักทำให้โรงพยาบาลขาดทุน แต่ที่โรงพยาบาลสามารถอยู่ได้เพราะใช้วิธี “หมุนเงิน” กล่าวคือใช้กำไรในระบบสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมมา “อุดรูรั่ว”
คำถามคือหลังจากนี้ เมื่องบเหมาจ่ายรายหัวจากสปส.ลงสู่พื้นที่แล้วต้องหมดไปกับการตามจ่าย อะไรจะเกิดขึ้น
นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล บอร์ดสปส. เสนอว่า สปส.ควรจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับสธ.เพื่อให้บริหารจัดการตัวเอง เพราะสธ.ก็จะสามารถกำหนดเพดานการจ่ายอุดหนุนให้กับโรงพยาบาลในเครือข่ายที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากได้ แต่หากสปส.เลือกที่จะจ่ายเป็นค่าเหมาจ่ายรายหัวให้ก่อน แล้วก็ประกันความเสี่ยงโดยจ่ายเงินอีกก้อนตามส่วนต่างที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาล จะทำให้เกิดความเคลือบแคลงได้ว่าสปส.เลือกปฏิบัติหรือไม่ เพราะจะจ่ายเงินให้โรงพยาบาลสธ.มากกว่าโรงพยาบาลเอกชน และการกระทำเช่นนี้เท่ากับว่าโรงพยาบาลสธ.ขนาดใหญ่จะไม่มีวันขาดทุน แต่อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการกระจุกตัวของการรักษาได้
ด้าน นพ.กําพล พลัสสินทร์ ประธานชมรมโรงพยาบาลเพื่อการพัฒนาระบบประกันสังคม มองว่า นโยบายนี้ไม่น่าจะส่งผลให้ผู้ประกันตนหันไปลงทะเบียนกับโรงพยาบาลสังกัดสธ.จนกระทบกับโรงพยาบาลเอกชน เพราะหากย้ายไปอยู่กับ สธ.จะต้องไปร่วมใช้บริการกับผู้ถือสิทธิบัตรทองและจะได้รับบริการล่าช้ามากกว่าเดิม
แม้ปัญหาที่เกิดจะไม่ใช่ความผิดของระบบประกันสังคม และสปส.เองก็ไม่ใช่ต้นเหตุ แต่จะดีกว่าหรือไม่ถ้าผู้ออกแบบระบบจะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับผลการศึกษาปัญหาและผลกระทบในหลากหลายมิติ ก่อนตัดสินใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด
มิเช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมระบบ โดยไม่สามารถถามหาความรับผิดชอบจากใครได้