- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ใต้ร่ม 'สัจจะพัฒนายาง' ศูนย์รวมอำนาจต่อรองของชาวสวน
ใต้ร่ม 'สัจจะพัฒนายาง' ศูนย์รวมอำนาจต่อรองของชาวสวน
นับเป็นเวลากว่า 21 ปีแล้ว ที่ “พระสุบิน ปณีโต” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดตราด ก่อตั้ง “กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์” ขึ้นมา โดยใช้หลักธรรมร่วมกับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เงินเป็นทางผ่านที่จะก่อให้เกิดการประสานกลุ่มคนรวมกัน เพื่อสร้างท้องถิ่นที่เข็มแข็งและยั่งยืน
จนถึงวันนี้มีกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ในจังหวัดตราดประมาณ 165 กลุ่ม มีสมาชิกอยู่กว่า 50,000 คน ด้วยเงินหมุนเวียนเกินกว่า 100 ล้านบาทแล้ว
กระทั่งปี 2551 “พระสุบิน ปณีโต” ได้คิดต่อยอด จัดตั้ง “กลุ่มสัจจะพัฒนายาง บ้านท้ายวัง” ในพื้นที่หมู่ 6 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมือง จังหวัดตราด ขึ้นมาอีกหนึ่งกลุ่ม ในห้วงเวลาที่ “ยาง” มีราคาตกต่ำ และผันผวนอย่างหนัก ยังไม่ต้องพูดถึงราคาน้ำยางในขณะนั้น เพราะแม้กระทั่งขี้ยางยังขายได้เพียงกิโลกรัมละ 14 บาทเท่านั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับราคาในวันนี้
จากวิกฤตดังกล่าว ส่งผลให้ชาวสวน จ.ตราด จำนวนมากต้องแบกรับภาระหนี้สินบักโกรก จากเงินกู้ทั้งในและนอกระบบ ขณะเดียวกันก็ไม่มีทีท่าว่า จะหาเงินมาปลดหนี้ได้อย่างไร ดังนั้นแล้ว ด้วยความที่คลุกคลีและทำงานใกล้ชิดชาวบ้าน พระสุบิน จึงนำเงินก้อนหนึ่งจากกองทุนสัจจะสะสมทรัพย์มาใช้เป็นทุนประเดิมในการจัดตั้ง “กลุ่มสัจจะพัฒนายาง”
ความทุกข์ของชาวสวนยางในช่วงเวลานั้น พระอาจารย์สุบิน บอกว่า “ขืนทู่ซี้ต่อไป ชาวบ้านมีหวังตายลูกเดียว เพราะเงินในกระเป๋าไม่พอใช้จ่าย ยิ่งในภาวะที่ค่าครองชีพสูงด้วยแล้ว อาตมาเห็นว่า การปล่อยเงินไว้เฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์สู้นำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ และช่วยเหลือชาวบ้านไม่ดีกว่าหรือ อาตมาจึงนำเงินของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ก้อนหนึ่ง ไปใช้บูรณะซ่อมแซม "โรงยางร้าง"ของภาครัฐ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบการ”
ส่วนเงินที่เหลือ พระอาจารย์นำไปซื้ออุปกรณ์ และรับซื้อน้ำยางจากชาวสวน เพื่อนำมาแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควัน
ประกอบกับแนวคิดใหม่ในการบริหารจัดการที่ว่า ‘รวยด้วยกัน จนด้วยกัน’ เช่น ในมิติของลูกจ้าง ต่อให้ราคายางจะขึ้นหรือลง ค่าแรงก็ไม่เคยขยับ พระอาจารย์ ได้ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนใหม่ “ราคายางเพิ่ม ค่าแรงเพิ่ม หากราคาลง ค่าจ้างก็ลดลงตามไปด้วย”
พระสุบิน อธิบายขั้นตอนให้เข้าใจว่า “การรวมกลุ่มทำให้ยางแปรรูปมีมาตรฐานมากขึ้นด้วย พอชาวสวนนำน้ำยางมาส่ง ทางกลุ่มฯ ก็หักไว้เป็นค่าแปรรูปกิโลกรัมละ 4 บาท ซึ่งราคาดังกล่าวก็พอๆ กับที่เกษตรกรต้องลงมือทำด้วยตนเอง แต่ในทางกลับกัน หากเกษตรกรลงมือแปรรูปด้วยตนเอง จะพบว่า มีปัญหายุ่งยากอย่างมาก อีกทั้งยางที่แปรรูปออกมาก็สั้นบ้าง ยาวบ้าง ไม่ได้มาตรฐาน พอไปถึงร้านค้าก็ราคาตก แต่หากนำยางเข้าสู่โรงแปรรูปของกลุ่มสัจจะฯ แล้ว ยางแผ่นที่ออกมาจะเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด แถมลูกค้าอยากได้ขนาดเท่าไหร่ก็สั่งได้ตรงตามสเป็ก”
แนวคิดของ “กลุ่มสัจจะพัฒนายาง” ส่งผลให้ยางแผ่นมีราคาดี จนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
จะเห็นว่า ในปีที่ 2 ของการดำเนินการได้กำไรกว่า 400,000 บาท ปีถัดมาก็มีกำไรกว่า 1,000,000 บาท
พระอาจารย์ บอกว่า มีการนำกำไรจำนวน 500,000 บาทไปปันผลให้กับสมาชิก ในรูปของ ‘ปุ๋ย’ เพื่อนำไปใช้เพาะปลูกครั้งต่อไป
“เราไม่ได้มองว่า ชาวบ้านเป็นลูกค้า หากนำน้ำยางมาขายมาก ก็ได้ปุ๋ยคืนมาก นอกจากนั้น กำไรในส่วนที่เหลือ ยังมาจัดทำเป็นสวัสดิการ ช่วยเหลือสมาชิก ใครป่วยจ่ายค่ารักษาให้ทันทีคืนละ 200 บาท หากถึงขั้นเสียชีวิตทางกลุ่มก็ช่วยอีก”
ส่วนแผนการต่อไปที่ กลุ่มสัจจะพัฒนายาง กำลังเดินหน้าผลักดันอยู่นั้น คือการจัดสวัสดิการเบี้ยยังชีพให้กับคนชรา เดือนละประมาณ 300-500 บาทต่อราย
เมื่อถามถึงแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้จัดสวัสดิการดังกล่าว พระอาจารย์ คิดให้เสร็จสรรพว่า จะนำมาจากสวนยางพาราที่เดินหน้าปลูกไปแล้วกว่า 100 ไร่ ซึ่งอีกประมาณ 2 ปี เริ่มกรีดได้ คาดทำเงินได้เดือนละกว่า 300,000 บาท
“เชื่อว่า มีเงินพอจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุได้อย่างแน่นอน แต่การให้ดังกล่าว จะต้องมีการทำประโยชน์เพื่อสังคมเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย เพราะอาตมาไม่ต้องการให้เป็น ‘นักขอ’ แต่ต้องการสร้างสังคมตัวอย่างที่คนแก่ไม่ถูกทอดทิ้ง” พระนักพัฒนา บอกอย่างนั้น
ก่อนจะตอกย้ำแนวคิดเพิ่มเติมอีกว่า “การสร้างสังคมนั้น จะต้องสร้างทั้งสังคมทางจิตวิญญาณ ควบคู่ไปกับสังคมแห่งโครงสร้าง ที่ชาวบ้านได้มีงาน มีส่วนร่วม และมีความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เพราะท้ายที่สุด จะส่งผลให้ประชาชนไม่ทิ้งถิ่น ไม่ทิ้งญาติและวัฒนธรรมของตนเอง”
ขณะที่นายสยาม เงาฉาย ประธานกลุ่มสัจจะพัฒนายาง ย้อนนึกไปถึงช่วงแรกๆ ที่มีสมาชิกเพียง 12 คน แต่พอทำไปทำมา สมาชิกเกิดความพึงพอใจ และเห็นว่า เราไม่ได้เอาเปรียบ ไม่ได้ค้ากำไรมากมาย แต่มุ่งหวังให้ชาวบ้านมีเงินเพิ่มในกระเป๋า ทำให้ในเวลาไม่กี่ปี ทางกลุ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 224 ราย และสมาชิกทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้ บางรายถึงขั้นปลดหนี้สินได้เลยทีเดียว
“ผลประกอบการ พูดได้ว่า เข้าขั้นประสบความสำเร็จ ไม่เคยขาดทุน”ประธานกลุ่มสัจจะพัฒนายาง บอกถึงตัวเลขอย่างอย่างน่าภาคภูมิใจ หลังชาวสวนประสบความสำเร็จ รวมกลุ่มกัน จนทำให้มีอำนาจต่อรองกับตลาดได้
เช่นเดียวกันกับสมาชิกรุ่นแรกของ “กลุ่มสัจจะพัฒนายาง” นางเยาวลักษณ์ บึงกระเสริม ที่ยึดอาชีพชาวสวนมากว่า 11 ปี เธอเล่าว่า ประมาณปี 2549-2550 ต้องเผชิญกับราคายางที่ตกต่ำสุดๆ ถูกพ่อค้าคนกลางฮั้วประมูลยางแผ่นอยู่บ่อยครั้ง จนราคาซื้อขายเข้าขั้นย่ำแย่ จนชาวบ้านต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่มกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์
และหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกกับทางกลุ่ม “สัจจะพัฒนายาง” เธอบอกว่า เห็นผลดีชัดเจน ชาวสวนไม่ถูกกดราคายางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“น้ำยางมีกี่เปอร์เซ็นต์ มากน้อยเพียงใด ตรวจให้ดูกันต่อหน้า ถ้าเกิดไม่ชัวร์ ไม่แน่ใจขอตรวจซ้ำอีกรอบก็ได้” สมาชิกกลุ่มสัจจะพัฒนายาง บอกถึงข้อดี พร้อมเปรียบเทียบให้ฟังว่า หากไปส่งตามร้าน พ่อค้าคนกลางจะหักเท่าไหร่ เราไม่มีทางรู้ เขาบอกเท่าไหร่ก็ต้องจบ ไม่มีโอกาสต่อรอง อีกอย่างหนึ่ง พอกรีดยางเสร็จ เก้าโมงเช้าก็บรรทุกใส่รถซาเล้งมาส่งที่โรงยาง เป็นอันจบ ไม่ต้องมาเหนื่อยแปรรูป ไม่ต้องเปลืองน้ำมันวิ่งรถไปขายในเมือง เงินทองที่ได้จึงมีกำไรเป็นเนื้อเป็นหนังมากขึ้น ไม่มีเล็ดลอดแต่อย่างใด
ส่วนราคาซื้อขายน้ำยางนั้น เธอบอกว่า ขึ้นลงตามราคาของตลาดกลาง ไม่ต้องกลัวว่า ราคายางดีแล้วทางกลุ่มจะฝืนรับซื้อราคาถูกๆ เพราะราคาขึ้นอยู่ ณ วันขาย “ขึ้นก็ขึ้นตาม ลงก็ลงตาม” ซึ่งบ่อยครั้งราคารับซื้อของทางกลุ่มสูงกว่าตามท้องตลาดด้วยซ้ำไป
และในทุกวันนี้ เธอยังไม่อยากเชื่อเลยว่า กลุ่มสัจจะพัฒนายาง ที่เริ่มแรกมีสมาชิกเพียงหยิบมือ จะเติบโตได้มากขนาดนี้
หรือนั่นอาจเป็นเพราะความเชื่อใจ กล้าลองผิดลองถูก เกาะกลุ่มกันไว้แน่น ตามหลักที่ว่า รอดก็รอดดัวยกัน ช่วยดึงกันไป อย่างไม่เอารัดเอาเปรียบ