- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “เลือกตั้ง” หนทางสู่ “ปรองดอง” ?
“เลือกตั้ง” หนทางสู่ “ปรองดอง” ?
หลายพรรคการเมืองต่างเห็นตรงกันว่า “ความขัดแย้ง-ความแตกแยก” ยังดำรงอยู่ในทุกอณูของสังคมไทย จึงไม่แปลก หากจะเห็นพรรคการเมืองเคาะนโยบายเชิญชวนให้พ่อแม่พี่น้องร่วมกัน “สร้างสังคมอุดมสามัคคี” เพื่อใช้เป็นม็อตโต้ในการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
แม้สังคมจะขานรับนโยบายสมานฉันท์ ทว่าก็ยังคงมีข้อกังขาเช่นกันว่า จะมีพรรคใดจริงใจให้เกิดความสมานฉันท์อย่างแท้จริงบ้าง โดยเฉพาะการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับที่ 1 ประกาศว่า“การเสนอตัวมารับใช้ประชาชน เพราะอยากเห็นประเทศไทยมองข้ามความขัดแย้ง แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน อยากเห็นความสมัคคีปรองดองในชาติ ซึ่งพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะสร้างความปรองดองและไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข ส่วนการนิรโทษนั้นจะทำเพื่อทุกคนไม่ใช่เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว”
ทันทีที่ประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณะชน ประเด็นดังกล่าวก็นำมาสู่การถกเถียงทันที โดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ว.กทม. และหัวหน้าพรรคประชาสันติ มองผ่าน “ไทยรีฟอร์ม”ว่า การสร้างความปรองดอง การสร้างความสามัคคี หากทำได้จริงถือเป็นเรื่องดี แต่ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหานี้เกิดการตีบตัน เพราะตัวปัญหาหลัก คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง
ดังจะเห็นได้จากภายหลังการเลือกตั้ง 2550 ที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลแล้วนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อชะล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ก็มีคนออกมาคัดค้าน กระทั่งต้องยกเลิกในที่สุด ต่อมาเมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นเป็นนายกฯ ก็มีความพยายามดังกล่าว แต่ก็เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน
“ทางออกที่พอเป็นไปได้ สำหรับการนิรโทษกรรมเพื่อทำให้เกิดการปรองดอง คือ ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ผ่านการทำประชามติ จากนั้นคุณทักษิณที่เป็นชนวนปัญหาของความแตกแยก ต้องหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองและห้ามเข้าประเทศเป็นเวลา 10 ปี เพราะหากไม่หยุดและมีความพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะแก้เกมก็จะเกิดการเผชิญหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”นายเสรี กล่าว
เขายังกล่าววิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า ความขัดแย้งไม่มีทางจะจบในเร็ววัน ตราบใดที่ทุกฝ่ายยังแข่งขันกันแย่งชิงอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วกลับเข้าสู่การบริหารประเทศก็จะยิ่งเป็นชนวนทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
ทั้งนี้ “เสรี” ยังกล่าวอีกว่า ปัจจัยหนึ่งที่ยังจะทำให้ความขัดแย้งยังเกิดขึ้นไม่มีวันจบ คือ การไม่มีความกระจ่างในข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสีย ชีวิตจำนวนมาก เพราะยิ่งเปิดเผยก็จะเปิดแผล ท้ายสุดก็จะหาคนผิดและคนรับผิดชอบไม่ได้ แม้เรื่องนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหาบานปลาย แต่ก็จะทำให้เกิดความค้างคาใจของผู้คน ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่นาย อภิสิทธิ์ไปหาเสียงแล้วเกิดการทวงถามจากประชาชนถึงการเสียชีวิตของ 92 ศพ แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จะถูกชะล้างด้วยเวลาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในเหตุการณ์ทางการเมืองหลายครั้งที่ผ่านมาของสังคมไทย
“ตอนนี้บรรยากาศของบ้านเมืองอยู่ในช่วงไม่ไว้วางใจกัน แม้แต่ละพรรคการเมืองจะออกนโยบายเพื่อสร้างความปรองดองแต่ถ้าไม่มีความจริงใจ ประชาชนก็ไม่สามารถวางใจได้ โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบกรณีการสลายการชุมนุม 92 ศพที่พวกเขาย่อมได้รับความเจ็บปวดที่ตอนนี้จับมือใครดมไม่ได้ เรื่องนี้หากไม่มีการสะสางก็จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกรณีกรือเซะและตากใบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นคนที่จะมาเป็นรัฐบาลใหม่จะต้องสะสางให้เกิดความยุติธรรมจึงจะเกิดบรรยากาศสมานฉันท์อย่างแท้จริงขึ้นได้”อดีต ส.ว.กทม.เสนอทางออกเพื่อให้สังคมไทยก้าวผ่านความขัดแย้ง
ขณะที่ “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย” ส.ว.สรรหา และ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แสดงความคิดเห็นกับ “ไทยรีฟอร์ม” ว่า ความจริงนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้เห็นความปรองดองของชาติเป็นจุดหมายหลังจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง แต่นักการเมืองส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมายว่า หลังการเลือกตั้งจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล นักการเมืองไทยยังไม่ไปถึงจุดพัฒนาเท่าที่ควร
ส.ว.สรรหา ผู้นี้ยังกล่าวอีกว่า แต่ละพรรคการเมืองโดยเฉพาะสองพรรคการเมืองใหญ่ก็ต่างผลักดันนโยบายประชานิยมแบบลดแลกแจกแถมออกมาแข่งขันกัน โดยไม่ได้คิดว่านโยบายเหล่านั้นจะมีผลได้ ผลเสียอย่างไรและการผลิตนโยบายเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อสร้างความปรองดองที่หัวใจสำคัญที่สุดของการปรองดอง คือ การสร้างประชาชนให้มีความสุขและลดความเหลื่อมล้ำของสังคม
จากการติดตามดูนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองตั้งแต่ก่อนยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง “สุรชัย” ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดคิดนโยบายที่เป็นหัวใจของการสร้างความสุขให้ประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยเขาบอกว่า หัวใจสำคัญที่สุดของการสร้างความปรองดอง คือ การสร้างความเป็นธรรมด้วยการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นธรรม ด้วยการปรับปรุงให้การบริหารราชแผ่นดิน ทั้งส่วนกลางและส่วน ภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล พร้อมทั้งสร้างข้าราชการที่เป็นข้าของประชาชน ซึ่งจะเป็นผู้ร่วมมือแก้ไขปัญหาร่วมกับรัฐบาลและจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภูมิภาคให้เกิดขึ้น เนื่อง จากปัจจุบันนี้ข้าราชการไทยปฏิบัติหลายมาตรฐาน ซึ่งนานวันการปฏิบัติเหล่านั้นก็เกิดการสะสมความไม่เป็นธรรมจนทำให้เกิดการคับแค้นขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้
“หากพรรคการเมืองไม่มีนโยบายที่จะสร้างความเป็นธรรมและมีบริหารราชการแผ่นดินที่ชัดเจนก็เท่ากับว่าจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไม่ได้ เพราะสังคมไทยไม่ได้มีแค่สีเหลืองกับสีแดงเท่านั้น เพราะประชาชนมีกว่า 67 ล้านคน หากประชาชนส่วนใหญ่ขาดความสุขการปรองดองก็ไม่เกิดขึ้น”สุรชัย กล่าวถึงนโยบายการสร้างความปรองดองไว้อย่างน่าสนใจ
ทั้งนี้เขายังแสดงความคิดเห็นถึงการสร้างความปรองดองด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมว่า เรื่องนี้ต้องถามว่าจะนิรโทษกรรมให้กับใครบ้าง โดยสังคมอาจจะมีคำถามว่า การนิรโทษกรรมจะมีผลกับผู้มีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง ทั้งกลุ่มที่บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมืองและกลุ่มที่บุกยึดราชประสงค์ หรือจะเป็นการนิรโทษกรรมจากทุกๆ ความผิดตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
“หากนิรโทษกรรมทั้งหมดก็จะต้องมาตั้งต้นว่า จะนิรโทษกรรมเฉพาะความผิดทางการเมืองหรือจะรวมความผิดทางคดีอาญาเข้าไว้ด้วยกัน โดยเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเพียงเท่านั้น แต่ควรเป็นเรื่องของสังคมจะต้องคิดร่วมกัน เพราะหากจะนิรโทษกรรมให้กับความผิดสำหรับผู้ที่สั่งการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และ 19 พฤษภาคม 2553 ญาติผู้เสียหายจะยอมหรือไม่”สุรชัย ตั้งคำถามในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย
ส.ว.สรรหา ผู้นี้ยังเสนอให้ผู้คนร่วมสังคมมองไปถึงรากเหง้าของการเกิดความแตกแยกและขาดความ
สามัคคีก่อนที่จะคิดอ่านเรื่องการยกโทษหรือชะล้างความผิดให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเขากล่าวว่า นักการเมืองไม่ควรให้คำจำกัดความการนิรโทษกรรมให้เฉพาะคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดง หรือผู้ได้รับผลกระทบภายหลังการยึดอำนาจเท่านั้น แต่ควรพูดถึงทั้งสังคมที่ควรได้รับความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงหลักนิติธรรม เพราะที่ผ่านมามีเหตุการณ์การอุ้มฆ่า การโยนความผิด การจับคนผิดมารับโทษแทนอีกคนจนเกิดแพะเต็มบ้านเต็มเมือง โดยบุคคลเหล่านี้เขาก็ถือเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน
“นักการเมืองควรมองให้พ้นจากผลประโยชน์ของตัวเองและแสดงสปิริตหลังเลือกตั้งเพื่อให้เกิดการปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ใช่หวังแต่ผลการชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล แล้วยึดกุมอำนาจรัฐให้กับพรรคพวกของตัวเองเข้าไปแสวงหาประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงการบริหารราชการแผ่นดินที่ทำให้เกิดความสุข หากนักการเมืองยังเป็นเช่นนี้สังคมไทยก็หลังการเลือกตั้งก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นนักการเมืองในฐานะที่อาสาเข้ามาบริหารบ้านเมืองควรมีนโยบายทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการต่างประเทศที่จะพาสังคมไทยให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่มีเพียงนโยบายประชา นิยมแบบลดแลกแจกแถมเท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรใหม่ในการเลือกตั้ง แต่จะมีเพียงแค่ชื่อนโยบายใหม่ที่เกิดขึ้นเท่านั้น”นายสุรชัย กล่าวปิดท้ายอย่างน่าคิด
ถือเป็นทัศนะของอดีตนักกฎหมายสองคนที่ “เคยเป็น” และ “ยังเป็น” ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลในบทบาทของสภาสูง ซึ่งก็หวังว่า นักเลือกตั้งจะนำไปขบคิดและปรับเป็นนโยบายเพื่อให้เกิดรูปธรรมเพื่อนำสังคมไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง