- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ตีโจทย์ใหญ่ ทำไมพรรคการเมือง ไม่สนใจเรื่องปฏิรูป
ตีโจทย์ใหญ่ ทำไมพรรคการเมือง ไม่สนใจเรื่องปฏิรูป
การเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. ถือเป็นช่วงสำคัญที่แต่ละพรรคจะนำเสนอนโยบายให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกนำไปสู่คำ “สัญญาประชาคม” หากได้เป็นรัฐบาลต้องนำไปปฏิบัติ
ทว่า การเลือกตั้งในสถานการณ์ความขัดแย้งหลังเกิดเหตุการณ์นองเลือด “พฤษภา 2553” เป็นประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายของประเทศ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความแตกต่างกว่าทุกครั้ง
ความแตกแยกขัดแย้งที่เกิดขึ้น ลงลึกถึงระดับครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน เรื่อยไปถึงทุกสถานที่ ในออฟฟิศ เพื่อนฝูง กระทั่ง ญาติมิตร
ในวงวิชาการ หรือ ภาคประชาชนก็แตกแยก แบ่งฝ่าย เลือกสี การทำหน้าที่นักวิชาการในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่กล้าเสนอความเห็นชี้ทางออกประเทศอย่างหาญกล้า หากไม่ถูกใจใคร อีกฝ่ายก็มองว่า อยู่อีกสีหนึ่งพร้อมกับถูกทำลายความน่าเชื่อถือ
ภาควิชาการจึงเงียบ กว่าที่ผ่านมา ไม่ต่างจาก ภาคประชาชนที่ดูจะอ่อนล้าหมดพลัง
ขณะที่พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็เสนอนโยบายประชานิยมขายของเก่า ต่อยอดทำใหม่ ไม่มีพรรคใดกล้าเสนอนโยบายปฏิรูปปรับเปลี่ยนประเทศเพื่อแก้ปัญหารากเหง้าที่สะสมมาช้านาน
ไม่ต้องพูดถึงพรรคขนาดกลาง พรรคเล็ก ไม่มีนโยบายอะไรมาหาเสียง แกนนำบางพรรคบอกตรงๆ ว่า ถ้าเราเสนอนโยบายไป คนก็เชื่อว่า ทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจึงไม่เน้นนำเสนอนโยบาย
การหาเสียงของพรรคกลางและพรรคเล็ก จึงมีแต่ การจับขั้วร่วมรัฐบาล ยื่นเงื่อนไขต่อรอง เก้าอี้รัฐมนตรี เรื่อยไปถึงขอเป็นนายกรัฐมนตรีกันตรงๆ
ไม่ว่าหลังผลเลือกตั้งเราจะมี “นารี่ขี่ม้าขาว” “นายกฯมาร์คคนเก่า” มาเป็นผู้นำประเทศ แต่หลายคนก็ยังมองว่า รัฐบาลใหม่หนีไม่พ้นวังวนความขัดแย้ง ใครเป็นรัฐบาลก็ลำบาก อยู่ได้ไม่นาน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็เดินหน้าด้วยความยุ่งยากทั้งกระแสต่อต้านที่ยังไม่ทิ้งเชื้อ ส่วนภารกิจชำระไล่ล่า แก้ไขในเงาแก้แค้น ยังมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องนิรโทษกรรมทุกคดีหลังยึดอำนาจ 19 กันยา 2549 โดยเฉพาะวาระลึกๆ คือ นิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รัฐบาลใหม่กับประเทศในอนาคต จึงเต็มไปด้วยปมปัญหาความขัดแย้งลูกใหญ่ ลูกเล็ก รออยู่เบื้องหน้า มากมายภายใต้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในยุคที่มีการถกเถียงถึงแนวคิดการปฏิรูปการปกครองต่างๆนาๆ
ไม่เห็นลู่ทางว่า ในอนาคตอันใกล้เราจะมียุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศอย่างไร เมื่อยังติดกับดักอยู่กับความขัดแย้ง
ข้อเสนอปฏิรูปประเทศไม่ว่า การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูประบบภาษี การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ที่คณะกรรมการปฏิรูปก็ได้ หรือ ของสมัชชาปฏิรูปประเทศที่รวบรวมข้อเสนอรากหญ้าเป็น พิมพ์เขียวออกมา เหตุใดถึงไม่ได้รับการตอบสนองจากภาคส่วนต่างๆ ให้เป็นวาระสำคัญในการหาเสียงครั้งนี้
เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ หนึ่งในกรรมการปฏิรูปและอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อมฯ มองว่า เหตุที่การหาเสียงครั้งนี้ไม่มีการพูดนโยบายการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การปฏิรูปที่ดิน การแก้ปัญหาหนี้สิน การปฏิรูปการศึกษา มาจากหลายสาเหตุ เช่น เนื้อหานโยบายเหล่านี้ประชาชนเข้าใจยาก เพราะปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ที่การบริหารในกระทรวง พรรคการเมืองจึงเสนอนโยบายที่จับต้องได้มากกว่า เช่น เพิ่มค่าแรง 25% หรือ เพิ่มค่าแรง 300 บาท ส่วนประชาชนก็สนใจผลประโยชน์ระยะสั้น ขณะที่การปฏิรูปโครงสร้างหรือ การแก้ไขรธน.นั้น ชาวบ้านไม่สนใจเพราะเป็นเรื่องเข้าใจยาก
“การหาเสียงของนักการเมือง ใช้ธุรกิจ ใช้แบรนด์เข้าครอบงำเจตนารมณ์ทางการเมือง ความจริงเขาควรจะดีเบตกัน อย่างในสหรัฐอเมริกา เช่น นโยบายปฏิรูปที่ดิน แต่ละพรรคควรจะพูดให้ชัดเลยว่า จะเอาอย่างไร ข้อเสนอของเราเรื่องจำกัดการถือครอง 50 ไร่เอาไหม ถ้าไม่เอาแล้วจะทำอย่างไร ต้องไล่ต่อไปเรื่อยๆ หรือ การประกันสุขภาพจะเอาแบบไหนอย่างไร การแก้ปัญหาภัยพิบัติ จะเป็นอย่างไร อย่างในสหรัฐอเมริกา เวลาเขาดีเบตกันก็เห็นเลยว่า พรรคไหนทำได้ไม่ได้ เห็นกึ๋นนักการเมืองแน่”
เพิ่มศักดิ์ บอกว่า การนำเสนอนโยบายขณะนี้เป็นเรื่องประชานิยม ประชาวิวัฒน์ เน้นเรื่องฉาบฉวย ซึ่งความจริงสื่อควรจะช่วยกระทุ้งให้พรรคการเมืองนำเสนอปัญหาในเชิงโครงสร้างให้มากกว่านี้
เมื่อไม่มีการผลักดันให้การหาเสียงครั้งนี้พูดเรื่องนโยบายปฏิรูป ฝ่ายใดควรจะรับผิดชอบ เพิ่มศักดิ์ บอกว่า ต้องโทษรัฐบาลที่ไม่มีความจริงใจในการปฏิรูป ไม่ปูพื้นฐานข้อมูลให้ประชาชน ว่าจะต้องเลือกนักการเมืองอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้มีการซื้อเสียง
สุริชัย หวันแก้ว อาจารย์พิเศษ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามว่า เราจะโทษฝ่ายใดที่ไม่สามารถผลักดัน ให้สังคมสนใจ กับนโยบายปฏิรูปในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปัญหาหนึ่งมาจากสังคมไทยเพิ่งเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ในช่วงแตกสี ส่วนเรื่องปรองดองที่พูด ก็ฉาบฉวยไม่จริงใจกัน แต่ถ้าให้ประเมินเชื่อว่า สังคมไม่ต้องการการเมืองแบ่งสี เพราะเป็นปมความแตกแยก ซึ่งเอแบคโพลล์ตั้งประเด็นได้ดีว่า แม้ว่าแต่ละพรรคจะมีนโยบายที่ดีอย่างไร แต่ถ้าบ้านเมืองไม่เกิดความปรองดอง ก็จะปฏิบัติไม่ได้ นี่จึงเป็นตัวสะท้อนชัดว่า สังคมไม่ต้องการความขัดแย้ง และความรุนแรงแล้ว
“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เป๋ พรรคเพื่อไทยก็เล่นเกมเอาทักษิณกลับบ้าน แค่ชิ่งไปชิ่งมาเท่านั้น การคัดเลือก คนลงปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย ชี้ให้เห็นว่า เขายังใช้แนวรบแบบเดียว คือ อาศัยกระแสนี้อิงไป แต่ทำอย่างนี้เพื่อไทยจะไม่ได้รับศรัทธาจากประชาชน เพราะความรุนแรงที่ผ่านมามันไม่พอหรือที่ทำให้คนตั้งคำถามถึงเขา ดังนั้น ถ้าเพื่อไทยบริสุทธิ์ใจจริง ต้องวางตัว มีระยะห่างมากขึ้นกับเงื่อนไขที่สร้างความรุนแรงที่ไม่บันยะบันยังเหมือนในอดีต ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เขาช่วยให้บ้านเมืองไม่ลำบากเรื่องความรุนแรง แต่เนื้อหาสาระกลับไม่ทำให้ประชาชนเชื่อใจ ช่วงหลังพรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมฉาบฉวยไปเยอะ เนื้อหาไม่มี หนักข้อไปทางประชานิยม แถมยังปล่อยให้สุเทพ เทือกสุบรรณ มาเล่นเกมด่าผู้ก่อการร้าย คล้ายๆ กับฟื้นเกมสองขั้วมาเล่นกันใหม่ มันจึงฟ้องว่า เขากำลังเสียสมดุลตนเอง ทั้งที่เดิมเขาว่าเรื่องปรองดองเอาไว้”
สุริชัย บอกว่า บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองวันนี้น่าห่วง เพราะมีกระแสที่ทำให้สังคมเกิดความไม่ไว้วางใจว่า แต่ละฝ่ายจะโจมตีกันรุนแรง และก็ไม่เห็นทางออกจากปัญหาหลังมีรัฐบาลใหม่ว่า อย่างกรณีถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ เขาก็เอานปช.ที่ติดภาพความรุนแรงกลับมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็จะได้เสียงแพวกเดิม ไม่สามารถดึงคนกลางได้ เป็นต้น ความยุ่งยากเหล่านี้จึงเป็นปมปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราไม่สามารถพูดเรื่องนโยบายเชิงปฏิรูปได้