- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- อนาคตของกองทัพในการใช้“สื่อ” ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย – เขมร
อนาคตของกองทัพในการใช้“สื่อ” ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย – เขมร
นับแต่สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เริ่มครุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 2551 และ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ไล่ตั้งแต่ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกศ ไล่มาถึงด้าน ปราสาทตาเมือน – ตาควาย จ.สุรินทร์ ภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อภาคพลเรือนของสองประเทศสร้างความสะเทือนใจให้กับคนทั้งสองชาติไม่ต่างกัน
การนำจำนวนศพและความสูญเสีย มาจับใส่ตาชั่ง เพื่อเทียบเคียงความสูญเสียคงวัดไม่ได้ว่าใคร โหดเหี้ยม เลวร้าย ไร้มนุษยธรรม มากกว่ากัน ในเมื่อรัฐชาติได้ออกแบบเรื่อง “เส้นเขตแดน” ไว้เพื่อกำหนดกรอบกติกาในการอยู่ร่วมกันของประเทศที่อยู่ติดกัน พร้อมเงื่อนไขความขัดแย้งที่ตามประกบมาเป็นส่วนควบ
หากจับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย –กัมพูชา ลงมาที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ที่ต้องใช้กำลังเพื่อรักษาอธิปไตย โดยละเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประชาชนสองฝั่งที่มีความผูกพันในเรื่องถิ่นฐานความเป็นอยู่ไว้ ก็จะเห็น“หมากเกม” ของสองฝ่ายที่กำลังใช้ในการต่อสู้หลายระดับ
ด้านยุทธศาสตร์ ในเวทีโลก ที่สองประเทศต้องสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้นในภาพรวมของประชาคมโลก ซึ่งฝ่ายกัมพูชา เสียงดังมากกว่า เพราะเป็นประเทศเล็ก ล้าหลังกว่าประเทศไทย มีประเทศตะวันตกที่มุ่งหวังเข้ามาใช้กัมพูชาเป็นฐานในการแบ่งผลประโยชน์ รวมไปถึง การเมืองในประเทศไทยที่มีความเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์กัมพูชา ในขณะที่ ฝ่ายไทย ต้องพยายามอย่างยิ่งยวด ในการแสวงหาข้อเท็จจริง หลักฐาน ให้ประจักษ์ต่อ ประชาคมโลกว่าไทยไม่ได้เป็นผู้รุกราน โดยต้องค้นหาหลักฐานที่แน่นหนาเพื่อสนับสนุนมากพอควร
สิ่งที่สำคัญ คือ “สื่อ” ซึ่งถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ในการสื่อสารต่อประชาคมโลก ซึ่งกัมพูชามีทั้ง กระบอกเสียงของ “รัฐ” ในการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ก่อนจะมีการส่งไม้ต่อให้ สำนักข่าวต่างประเทศ ที่มีสัญชาติตะวันตก และ จีน โดยมีสมาชิกจากประเทศมหาอำนาจ ที่มุ่งหวังเข้าไปแบ่งสรรผลประโยชน์ในกัมพูชา
สำนักข่าวต่างประเทศ ที่มี “เครดิต” ซึ่งได้รับการยอมรับ ตอกย้ำ และ นำเสนอข่าวจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง สร้างพลังในการเดินเกมให้กับ ฝ่ายกัมพูชา ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน มีการเชื้อเชิญสำนักข่าวต่างประเทศ เข้าไปดูเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง
“ลักษณะการให้ข่าวของทางการกัมพูชา จะเป็นการ ( IO: Information operation ) เป็นการปฏิบัติการจิตวิทยา ให้แนวคิด สร้างความเชื่อ เขาทำกับคนกัมพูชา ทำมาฝั่งไทย และ ก็ทำกับประชาคมโลกด้วย คือทำหมดเพื่อหวังผลในการสร้างความได้เปรียบ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอาจจะจริง หรือ ไม่จริงก็ได้ “ พันเอก ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ระบุ
ในขณะที่ฝ่ายไทย กว่าจะปรับตัว ในการใช้ “สื่อ” ต่อประเด็น ไทย –กัมพูชาได้ ก็ต่อเมื่อผ่านเลยสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศเมื่อเดือน พ.ค. 2553 ไปแล้ว เมื่อเห็นว่า “ประโยชน์” ในการชี้แจงข้อมูล เพื่อ “ถ่วงน้ำหนัก” นั้น ถ้านำมาใช้ต่อกรณี ไทย – เขมร ก็มีผลต่อการโน้มน้าว “ทัศนคติ” ของสมาชิกในประชาคมโลกได้ไม่มากก็น้อย อีกทั้งเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการให้ระดับกองทัพภาค มีโฆษกฯ ในการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานของกองทัพภาคอยู่แล้ว
“แนวทางของเราคือการชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเกิดเหตุปะทะตรงไหน อย่างไร เหตุเกิดเพราะอะไร หลักการคือบอกความจริง และแก้ข่าว เช่นมีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดเหตุปะทะที่ จ.ศรีสะเกษ กัมพูชาประโคมข่าว ปล่อยข่าวว่า จรวดหลายลำกล้อง บีเอ็ม-21 สามารถยิงเข้ามาตกในพื้นที่บริเวณ ศูนย์อพยพ เราก็ต้องลดความตื่นตระหนกของประชาชน โดยการประชาสัมพันธ์ว่าไม่เป็นความจริง โดยต้องทำอย่างทันท่วงที โฆษกกองทัพภาค สามารถทำตรงนี้ได้ทันที หรือประเด็นที่ โฆษกกองทัพกัมพูชา ออกมาสร้างความรู้สึกสูญเสียผ่านสื่อ การให้สัมภาษณ์ของ สมเด็จ ฮุนเซน เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงก็ปรากฏ โดยเราใช้หลักฐาน และ ข้อเท็จจริงในการต่อสู้ ” โฆษกกองทัพภาคที่ 2กล่าว
พ.อ.ประวิทย์ ยังเชื่อว่า แนวการประชาสัมพันธ์ โดยการชี้แจง และแก้ข่าว อาจถูกมองว่าเป็นการตั้งรับมากเกินไป ไม่เหมือนกัมพูชาที่ปฏิบัติการเชิงรุก แต่เราเชื่อว่าการพูดความจริง และ นำหลักฐานมาแสดงให้ชาวโลกได้รับทราบอย่างตรงไปตรงมา จะได้ผลในระยะยาว
“ วิธีการของเรา คือ ผู้ใหญ่ จะให้ความจริงกับทุกคน แรกๆ ชาวโลกอาจจะฟังกัมพูชา แต่ผ่านไปสักพัก ระยะยาวเขาจะเห็นความจริง ว่าอะไรเป็นอะไร ผลในระยะยาวจะดีกว่า” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ระบุ
กระนั้น ในภาพรวมยุทธวิธีของกองทัพต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนการประชาสัมพันธ์เชิงรับที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งที่กองทัพเปิดหน้าเล่น แต่การใช้ IO ก็ยังจำเป็น และ ยากที่จะปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการ เสริมมาตรการในการ สู้กับ “กัมพูชา”
จุดศูนย์ดุลของกัมพูชา ที่เป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุด คือ ตัวของ “สมเด็จฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาเอง ที่กองทัพบก ได้ส่งผ่านข้อมูลข่าวกรองที่เป็นข่าวที่เกี่ยวเนื่องเพื่อ “เปิดโปง” พฤติกรรมของผู้นำที่กำลังเล่นเกมสร้างคะแนนนิยมในประเทศ และ ระหว่างประเทศ ให้เกิดขึ้น
ไล่ตั้งแต่ ความแตกแยกในกองทัพกัมพูชา การแย่งชิงอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่า และ การสร้างฐานอำนาจใหม่ให้ กับ ลูกชาย พล.ท. ฮุน มาเน็ต รอง ผบ.ทบ. นายทหารหนุ่มจาก “เวสปอยต์” ซึ่งถูกส่งไปบัญชาการในแนวรบที่เขาพระวิหาร และ ที่ปราสาทตาเมือน ตาควาย
เลยไปถึงการเปิดยุทธวิธีการรบของ “กัมพูชา” ความสูญเสียของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และ ฐานที่มั่นทางทหาร ผ่านการส่งผ่านให้ “สื่อ” รวมไปถึงการที่กัมพูชา ได้ใช้เด็กและผู้หญิง เป็นโล่มนุษย์ อยู่ผสมปนเปกับทหารเขมร ในฐานที่มั่นทางทหาร , การใช้ปราสาทพระวิหารบังที่ตั้งฐานปืนใหญ่ เพื่อป้องกันการตอบโต้กลับจากไทย , การส่งทหารเขมรออกมารบหน้าแนว ยืมมือทหารไทยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยที่ทหารของ รัฐบาลฮุนเซน ยังอยู่สุขสบายในส่วนสนับสนุน เป็นต้น
ข้อมูลที่เสนอผ่าน “สื่อ” ไทย จึงมีรายละเอียดของฝ่ายกัมพูชาค่อนข้างมาก ในขณะที่ กองทัพก็ใช้วิธีขอความร่วมมือจากสื่อไทย เพื่องดการนำเสนอข้อมูลด้านยุทธวิธีของฝ่ายไทย ที่ตั้งฐานทหาร ชื่อทางทหาร ซึ่งสื่อส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ เพราะมองว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ และ อาจมีส่วนให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบทางการสู้รบ
วิธีการดังกล่าว อาจเรียกได้ว่า เป็นการ IO ได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องตีความ เพราะสิ่งที่กองทัพได้แจ้งข่าวมาทางสื่อไทยนั้น ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็น “ข้อมูลจริง” หรือ “ข้อมูลเท็จ” เพียงแต่สิ่งที่นำเสนอออกไปนั้น ยังประโยชน์ต่อภาพรวมผลประโยชน์ของประเทศ
อย่างน้อยก็ เป็นการสร้างข้อมูลอีกชุด ที่หักล้างข้อมูลที่กัมพูชาได้สร้างภาพให้ ไทยเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลก หรือ อาจเรียกได้ว่าเป็นปฏิบัติการ “เอาคืน”
ปฏิบัติการดังกล่าว อาจเรียกได้ว่า “สื่อ” ยอมเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายรัฐไทย ในการนำเสนอข้อมูลที่สร้างผลทางบวกให้ฝ่ายเรา แต่กรอบในการปฏิบัติการข่าวสารเชิงจิตวิทยาดังกล่าว จะมี “ขอบเขต” แค่ไหนเป็นเรื่องที่ “สื่อ”เองต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และ แยกแยะให้ออก
ที่สำคัญ ฝ่ายกองทัพเอง ต้องตระหนักด้วยว่า “แนวร่วม”อย่างสื่อ ในสภาวการณ์ดังกล่าวนั้น ไม่ใช่ภาวะถาวรในการทำงานร่วมกัน เพราะประเด็นปัญหาในเรื่องไทย –เขมร เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ที่ “สื่อ”เองต้องแบ่งภาคในการทำงานเพื่อชาติเหมือนกัน หากแต่แนวโน้มของกองทัพในอนาคต ต้องปล่อยให้ “สื่อ” ได้กลับไปทำหน้าที่ในการ ใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ และ นำเสนอแนวทางปัญหาด้วยตัวเอง เนื่องจาก ช่วงสถานการณ์ในอนาคตที่ต้องมีหลายประเด็นที่ต้องวิเคราะห์ หรือ แสดงความคิดเห็น ต่อรัฐในการบริหารจัดการปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
ไม่ใช่กองทัพจะ “ยึดติด”กับการ “ขอความร่วมมือ” จนเลยกรอบ จนเข้าใจว่าจะควบคุมสื่อ และ ทิศทางข่าว โดยใส่แต่ข้อมูลทางเดียว จนลืมไปนีกไปว่าสื่อไทยก็ย่อมมีข้อมูลอีกหลายด้าน และ มีเสรีภาพในการทำงาน บนพื้นฐานที่ยึดผลประโยชน์ชาติ ไม่เหมือน “สื่อเขมร” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือรัฐตลอดเวลา