- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- วัดใจ"สปส." เพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคม?
วัดใจ"สปส." เพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคม?
ทีชักเข้าชักออกของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านรักษาพยาบาล กำลังทำให้ผู้ประกันตนราวๆ 10 ล้านคน และสังคมไทยเคลือบแคลงได้ว่า “แหกตา” เพื่อหาทางเอาตัวรอด ?
ชัดเจนแล้วว่าจนถึงนาทีนี้ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้รับความเหลื่อมล้ำที่สุดในระบบประกันสุขภาพของประเทศไทย ประการหนึ่งคือเป็นระบบเดียวที่ต้องจ่ายเงินให้กับการรักษาพยายาลตัวเอง ในขณะที่ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสวัสดิการข้าราชการ กลับได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล โดยไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายสักบาท
อีกประการหนึ่งคือสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลที่ได้รับด้อยกว่า 2 ระบบประกันสุขภาพข้างต้น พิสูจน์แล้วจากผลงานวิจัยเปรียบเทียบ “สิทธิต่อสิทธิ” ของ นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ซึ่งเผยแพร่ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกันคือ ระบบประกันสังคม ตั้งขึ้นภายใต้แนวคิดเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข นั่นหมายความว่าการร่วมจ่ายสมทบจากผู้ประกันตนไม่ใช่เรื่องผิด ในทางกลับกันหากมองตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ นั่นเพราะรัฐบาลจะได้ลดภาระการแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไป
จึงไม่แปลกที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลประชาธิปัตย์ พยายามขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบอีก 24 ล้านคน ตามพ.ร.บ.ประกันสังคม มาตรา 40
คิดง่ายๆ คือ ยิ่งขยายประกันสังคมให้ครอบคลุมมากขึ้น ประชาชนก็จะร่วมจ่ายสมทบมากขึ้น และหากรัฐสามารถควบคุมการใช้จ่ายของระบบประกันสุขภาพอีก 2 ระบบหรือลดอัตราของผู้ใช้สิทธิลงได้ ... ก็จะยิ่งสบายกระเป๋า
ดังนั้นประเด็นที่ต้องหันกลับมาฉุกคิดคือ ยังจำเป็นต้องคงการจ่ายเงินสมทบจากผู้ประกันตนไว้ แต่ควรเป็นเฉพาะสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ บำนาญชราภาพ ชดเชยการขาดรายได้ หรือไม่
ทว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจ่ายเงินคงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ตรงนี้สังคมและผู้ประกันตนมีความเข้าใจและรับได้ แต่คำถามที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาร่วม 4 เดือนที่ผ่านมาคือ สปส.ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบสุขภาพของประชาชนชาวไทยเฉียด 10 ล้านคน และมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ...
เหตุใดจึงไม่ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้เท่าเทียมกองทุนสุขภาพอื่นๆ
ย้อนกลับไปช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังสปส.ถูกกดดันหนักจากเครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคไต โรคมะเร็ง โรคเอดส์ มีการเรียกประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.) โดยขณะนั้นที่ประชุมมีมติปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ “ชุดใหญ่” 7 รายการ
ได้แก่ 1.การรับสิทธิโรคร้ายแรงที่ต้องรักษาต่อเนื่อง (ผู้ป่วยใน) จากเดิมไม่เกิน 180 วัน/ปี ปรับเป็นรักษาต่อเนื่องตามความจำเป็น 2.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินและไม่สามารถไปรับบริการในโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ได้ จากไม่เกิน 2 ครั้ง/ปี เป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง
3.เพิ่มสิทธิทันตกรรม 4.เพิ่มสิทธิจ่ายยาต้านไวรัสเอชไอวีแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก 5.เพิ่มยาอะทาซานาเวียร์ในบัญชียา 6.เพิ่มสิทธิจ่ายยากดภูมิ สิทธิการเปลี่ยนไตแก่ผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรังก่อนการเป็นผู้ประกันตน และ 7.ปรับราคากลางยารักษาโรคไตให้ต่ำลง
ท่าทีของสปส.ในขณะนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการหลักประกันสุขภาพเป็นอย่างมาก จากที่เคยได้รับแต่ก้อนอิฐก็ปรากฏดอกไม้กลิ่นหอมหวน และถัดจากนั้นอีกเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา บอร์ดสปส.ขยายสิทธิให้กับผู้ป่วยโรคไตอีกหลายรายการ อาทิ ขยายการบริการแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยมาก่อนเข้าระบบ การเพิ่มเพดานราคายากระตุ้นเม็ดเลือด
จนเข้าสู่การประชุมนัดล่าสุด 24 พ.ค. บอร์ดสปส.มีมติเห็นชอบให้เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนอีก 2 รายการ คือ ขยายเวลาการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินจากเดิม 2 ครั้งต่อปี เป็นไม่จำกัดจำนวน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรม-ฟันเทียม โดยตั้งงบบริการ 2,400 บาท สำหรับครึ่งปากบน-ล่าง และ 4,400 บาท สำหรับทั้งปาก
หากเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด จะเกิดคำถามว่าเหตุใดมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ซ้ำ
ความจริงหลังฉากการแสดงคือ การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาในข้างต้นเป็นเพียงการ “เห็นชอบโดยหลักการ” เท่านั้น และให้ส่งเรื่องทั้งหมดไปให้ “อนุกรรมการกลั่นกรองสิทธิประโยชน์” ประเมินงบประมาณที่สปส.จะต้องใช้ และความคุ้มค่าในการปรับเพิ่มสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสิทธิประโยชน์ใดสามารถบังคับใช้ได้จริง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?
ตามขั้นตอนการพิจารณาสิทธิประโยชน์ เริ่มต้นจากคณะกรรมการการแพทย์เป็นผู้เสนอ จากนั้นจะเข้าสู่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ก่อนจะส่งไปให้บอร์ดสปส.พิจารณาแล้วจึงประกาศใช้ แต่หากบอร์ดพิจารณาเห็นว่าสิทธิประโยชน์ที่จะเพิ่มกระทบต่อกองทุนก็จะมีมติให้ส่งกลับไปยังอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณา
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรรมการการแพทย์ สปส. ฉายภาพอย่างน่าสนใจว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการการแพทย์ได้เสนอให้บอร์ดสปส.ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์หลากหลายรายการ แต่ส่วนใหญ่ก็จะติดอยู่ในชั้นของอนุกรรมการกลั่นกรองฯ เสมอ โดยผู้ประกันตนต้องเข้าใจว่าสปส.บริหารโดยให้ความสำคัญกับกองทุนและเงินเป็นหลัก ดังนั้นอนุกรรมการชุดนี้จึงเหมือนกลไกเซ็นเซอร์
"เมื่อคณะกรรมการการแพทย์เสนอเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆนานา ก็จะมาติดอยู่ที่คณะอนุกรรมการชุดนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีการเรียกประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการการแพทย์เสนอแต่อย่างใด" นพ.ประทีป ระบุ
คณะกรรมการแพทย์ สปส.รายนี้ ยืนยันว่า ข้อเสนอปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์หลายรายการไม่กระทบต่อความมั่นคงของกองทุน สปส.อย่างแน่นอน นั่นเพราะกองทุน สปส.แบ่งการบริหารออกเป็นกองทุนย่อยๆ อาทิ กองทุนรักษาพยาบาล กองทุนคลอดบุตร กองทุนทุพพลภาพซึ่งหากพิจารณาดูตัวเลขงบประมาณทั้งปีของกองทุนรักษาพยาบาล พบว่า มีการใช้จ่ายน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่จัดสรรไว้
"ขยายสิทธิประโยชน์อย่างไร กองทุนรักษาพยาบาลก็ยังมีเงินเหลือ ที่ผ่านมากองทุนนี้ใช้จ่ายเงินน้อยมากๆ" คุณหมอประทีป สำทับข้อมูล
อย่างที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่าท่าทีชักเข้าชักออกของสปส.กำลังทำให้ผู้ประกันตนและสังคมไทยเคลือบแคลงว่า “แหกตา” เพื่อหาทางเอาตัวรอดใช่หรือไม่
นั่นเพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้จะพบว่า ผู้แทนสภานายจ้าง 7 องค์กร ได้เข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในประเด็นความเหลื่อมล้ำเรื่องการเก็บเงินสมทบขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยขณะนั้นผู้ตรวจการฯ มีความเห็นว่าข้อสังเกตของผู้ร้องมีมูล และกำหนดกรอบให้สปส.ดำเนินการแก้ไขความเหลื่อมล้ำภายใน 30 วัน หากไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จะใช้อำนาจเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
จึงมีความเป็นไปได้ที่บอร์ดสปส.พยายามดิ้นด้วยการ “เพิ่มสิทธิเก๊” อย่างที่ผ่านมา เพราะอย่างน้อยก็ได้ผลระดับหนึ่ง เนื่องจากท่าทีของผู้ตรวจการฯ ล่าสุดคือ อาจต้องชะลอการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยเห็นว่าสปส.เริ่มดำเนินการแก้ไขความเหลื่อมล้ำแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเครือข่ายผู้ป่วยป่าวร้องถามหาความจริงใจดังขึ้นเรื่อยๆ ปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสปส. ในฐานะประธานอนุกรรมการกลั่นกรองสิทธิประโยชน์ จึงให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า ได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการฯ นำประเด็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการแพทย์ทั้งหมดตามที่บอร์ดสปส.ได้เห็นชอบโดยหลักการแล้ว เข้าสู่การพิจารณาในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ คาดว่าจะมีความชัดเจนอย่างน้อย 2 รายการ
“จากนั้นจะนำข้อสรุปที่ได้เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปส.ในวันที่ 21 มิ.ย. เชื่อว่าภายในเดือน มิ.ย.ผู้ประกันตนจะได้รับการเพิ่มสิทธิประโยชน์อย่างแน่นอน” เลขาฯ ปั้นยืนกราน
ลิเก หรือ จริงใจ วัดกันปลายเดือนนี้