- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ตรวจนโยบายด้านการเกษตร “ประกัน-จำนำ” พรรคไหนสอบตก ?
ตรวจนโยบายด้านการเกษตร “ประกัน-จำนำ” พรรคไหนสอบตก ?
ภายหลังจากยุบสภาและประกาศวันเลือกตั้งชัดเจน 3 ก.ค. 54 พรรคการเมืองต่างชูนโยบายเกทับ แย่งกันเอาใจเกษตรกร ที่เห็นเด่นชัด คือ การต่อกรระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ มากับนโยบาย “ประกันรายได้” ให้เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่มันสำปะหลัง ชาวไร่ข้าวโพด นโยบายเก่านำมาขายใหม่ ที่เพิ่มออฟชั่นบวกให้ชาวนา จาก 40% เป็น 50% รวมทั้งมีการประกันภัยพืชผลหรือประกันนาล่มที่ชูจุดขาย “เดินหน้า >> ” สานต่อนโยบาย เริ่มได้ตั้งแต่ 90 วันแรก
ด้านพรรคเพื่อไทย ที่ชูนโยบาย “จำนำสินค้าการเกษตร” ในอัตรา 0% โดยเฉพาะรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท คู่ขนานไปกับการออกบัตรเครดิตชาวนา เพื่อให้เกษตรกรนำเงินไปซื้อปัจจัยการผลิต ลดการพึ่งหนี้นอกระบบ เพิ่มศักดิ์ศรีให้เกษตรกร
จำนำราคาข้าว “สอบตก” ทุกข้อ
ลด แลก แจก แถม เกทับกันสุดขั้ว ทำให้ทั้ง 2 นโยบายจาก 2 พรรคการเมือง ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกันตั้งแต่ช่วงแรก โดยเฉพาะในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ชี้แจงว่า เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินใจว่า ประชาชนควรจะเลือกนโยบายไหนระหว่าง "จำนำ" ข้าวกับ "ประกัน" รายได้ มี 4 ประการ คือ
1.นโยบายใดเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร หรือเกิดประโยชน์ต่อพ่อค้า
2.เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรทุกคน หรือเกิดประโยชน์เฉพาะเกษตรกรบางคนที่มีผลผลิตเหลือขายในตลาด
3.ทำลายระบบการค้าข้าวของไทยที่มีความสามารถในการแข่งขัน และการเป็นข้าวคุณภาพในตลาดโลก
4.คอร์รัปชั่น
ประธานทีดีอาร์ไอ ยืนยันว่า ถ้าใช้ 4 เกณฑ์นี้วัด 2 นโยบายหลักด้านการเกษตรของพรรคการเมือง คือ นโยบายประกันรายได้ และจำนำข้าว นับว่านโยบายจำนำข้าว สอบตกทุกข้อ !!
หากมองในแง่ “ผลประโยชน์นโยบายจำนำข้าว” ส่วนใหญ่ตกอยู่กับพ่อค้าส่งออก 4-5 ราย และโรงสี 600 โรงจากประมาณ 2,000 โรง ส่วนเกษตรกรที่ได้ประโยชน์คือ 6 แสนราย ขณะที่ประกันรายได้ พ่อค้าไม่ได้ประโยชน์เลย แต่เกษตรกรได้ทุกคน 4 ล้านคน
ฉะนั้น นโยบายจำนำข้าว ประโยชน์ที่จะเกิดพ่อค้าเป็นหลัก จึงถือว่า สอบตก”
เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า หากมองว่านโยบาย “ให้ประโยชน์ต่อเกษตรกรทุกคน หรือให้เฉพาะเกษตรกรบางคน”
- จำนำราคาข้าว จะเป็นประโยชน์เฉพาะเกษตรกรที่มีข้าวเหลือขาย หรือมีผลผลิตเหลือขายในตลาด 6 แสนคน
- แต่ถ้าเป็นประกันรายได้ จะออกแบบมาเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรทุกคน รวมทั้งเกษตรกรยากจนที่ไม่มีข้าวเหลือขาย 4 ล้านคน
ซึ่งหากมองในเกณฑ์นี้ "ประกันรายได้ก็ยังดีกว่าจำนำราคาข้าว" โดยไม่ได้คำนึงคะแนนหาเสียงว่า นโยบายไหนจะได้คะแนนเสียงมากกว่ากัน
เกณฑ์ที่สาม “นโยบายไหนทำลายระบบการค้าข้าว และการค้าข้าวที่มีคุณภาพ”
ประธานทีดีอาร์ไอ เห็นว่า นโยบายจำนำราคาข้าว ทำให้ไทยเสียตลาดข้าวในตลาดโลกแก่เวียดนาม เพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องเข้าไปซื้อข้าว จ้างโรงสีเก็บและสีข้าว จากนั้นก็นำไปขายให้กับพ่อค้าในราคาถูก
ยิ่งนับเป็นการบิดเบือนตลาดมาก ทำให้ตลาดข้าวในบ้านเรา กลายเป็นตลาดข้าวคุณภาพต่ำ และเริ่มเสียตลาดข้าวให้กับเวียดนาม
ขณะที่ระบบประกันรายได้ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องค้าขาย ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ข้าวจึงมีคุณภาพ แข่งขันในตลาดโลกได้
“คอรัปชั่น” เกณฑ์สุดท้ายในการประเมินนั้น รศ.ดร.นิพนธ์ ย้ำชัดว่า นโยบายจำนำราคาข้าวจะมีการทุจริตได้ทุกระดับ ตั้งแต่เกษตรกร โรงสี พ่อค้าส่ง ข้าราชการและนักการเมือง ที่ล้วนได้ส่วนแบ่งจากการแทรกแซงของรัฐบาล ส่วนนโยบายประกันรายได้ ก็มีการคอร์รัปชั่นโดยการที่ชาวนาจำนวนหนึ่งจดทะเบียนเกินความเป็นจริง แต่ก็เป็นการหาประโยชน์เพียงคนละเล็กน้อย
ดังนั้น ในเกณฑ์สุดท้ายแม้จะมีการคอร์รัปชั่นทั้งสองนโยบาย แต่ นโยบายจำนำราคาข้าวคอร์รัปชั่นมากกว่า
สรุปทั้ง 4 เกณฑ์ นโยบายจำนำราคาข้าวจึงสอบตกหมด...
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของประกันรายได้ที่มีความจำเป็นต้องแก้ไข คือ การที่พรรคการเมืองนำนโยบายนี้มาเกทับกัน เพื่อเอาใจเกษตรกร เป็นการขึ้นราคาจนสูงเกินความเป็นจริง และเป็นการถลุงงบประมาณอย่างมโหฬาร ซึ่งทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินของผู้เสียภาษี รศ.ดร.นิพนธ์ วิเคราะห์เพิ่มเติม พร้อมกับมองว่า สำหรับข้อเสียข้อของการจำนำมีสูงมาก ฉะนั้น รัฐบาลต้องช่วยเกษตรกรทุกคนในเรื่องงบประมาณ แต่ไม่ใช่ช่วยทุกๆ ตันของข้าวที่ผลิตได้ ต้องเอาเกษตรกรที่ยากจนเป็นฐาน ตั้งราคาแค่ให้คุ้มทุนให้กับเกษตรกร
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงแนะนำว่าจะต้องจำกัดการจำนำข้าวขั้นต่ำ และจำกัดปริมาณการประกันรายได้ รวมทั้งตั้งราคาประกันรายได้ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งหลักการนี้จะเริ่มทำให้เกษตรกรมีวินัยทางการคลัง และทำให้รัฐบาลสามารถมีเงินเหลือไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ได้
ทั้งนี้ สำหรับนโยบายสินเชื่อชาวนา หรือบัตรเครดิตเกษตรกร รศ.ดร.นิพนธ์ คิดว่า ขณะนี้นโยบายการให้สินเชื่อและดอกเบี้ยกับประชาชนและเกษตรกรทั่วประเทศ ไม่ว่าจะในรูปแบบใด มีมากเกินไป จนทำให้ประชาชนเป็นหนี้สินอย่างมโหฬาร ทั้งที่ปัจจุบันนี้เกษตรกรกว่า 90% ก็เข้าถึงสินเชื่อการเกษตร เช่น ธกส. จนทำให้ประชาชนทั่วประเทศส่วนใหญ่เป็นหนี้ในระบบ ไม่ใช่หนี้นอกระบบ
“ถึงเวลาที่รัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆ ต้องมีความระมัดระวังในการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร เพราะวิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านมาไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน และส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับนโยบายการให้เครดิต หรือให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกับเกษตรกรและประชาชนไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม เพราะเป็นนโยบายที่ทำให้คนกู้เงินมากเกินไป ทั้งพักชำระหนี้แล้วให้เกษตรกรกู้เงินเพิ่ม ทำให้ประชาชนและเกษตรกรจำนวนหนึ่งเริ่มไม่มีวินัยทางการเงิน ใช่เงินไม่เป็นและใช้เงินเกินความสามารถในการหารายได้ของตัวเอง”
2 นโยบายต่าง ร่วมรัฐบาลกันไม่ได้
ด้านนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนอิสระอย่าง “วีระ ธีระภัทรานนท์” เห็นว่า เมื่อนโยบายประกันรายได้สินค้าเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดของพรรคประชาธิปัตย์ กับนโยบายจำนำข้าวเปลือก ข้าวหอมมะลิ เสริมด้วยบัตรเครดิตชาวนาของพรรคเพื่อไทยมีความคิดไม่ตรงกัน จึงเป็นเหตุผลว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เดินคนละทาง ร่วมรัฐบาลกันไม่ได้แน่นอน
“ทั้ง 2 นโยบายมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งคู่ อย่างนโยบายจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ถ้าระบบจำนำรับซื้อข้าวเปลือกแบบไม่ได้ดูคุณภาพ ความชื้นของข้าว รัฐต้องขาดทุนตันละ 5,000 บาท คิดเป็นฤดูกาลจะขาดทุน 1.5 แสนล้านบาท ฉะนั้น ต้องถามต่อด้วยว่า นโยบายจำนำข้าว จะรับซื้อทั้งหมดหรือไม่ กำหนดความชื้นเท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่และมีการคำนวณตัวเลขที่ต้องขาดทุนจากการส่งออกหรือยัง ทั้งนี้ไม่รวมคอรัปชั่น ใต้โต๊ะและการหมุนของ ที่เรียกได้ว่านโยบายนี้ “ฮั้ว” กันทั้งกระบวนการ"
คำถามที่สำคัญที่สุด ที่นักจัดการรายชื่อดังถามอีก คือ ใครเป็นคนจ่ายเงิน
ประกันรายได้ ดีกว่า จำนำข้าว
ในมุม NGO ผู้คลุกคลีกับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา “วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) มองว่า นโยบายประกันรายได้ ดีกว่านโยบายจำนำข้าวเปลือก ซึ่งที่ผ่านมาไปแทรกแซงตลาดและมีการคอรัปชั่น ทำให้เงินถึงมือเกษตรกรน้อย ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงสรุปตรงกันว่า ประกันรายได้ดีกว่า
แต่โดยรวมแล้ว นโยบายประกันรายได้ ก็ไม่ได้นำไปสู่การปรับโครงสร้างปัญหาที่แท้จริงของการเกษตร เพราะการประกันรายได้สูง หมายถึงการเอาภาษีของชาวบ้านไปสนับสนุนโครงสร้างการผลิตที่มีปัญหาในปัจจุบัน แต่ไม่ได้นำไปสู่การลดต้นทุนการผลิตกับโครงสร้างอย่างที่ควรจะเป็น
ฉะนั้น เงินที่เข้าสู่ระบบในที่สุดก็จะไหลไปหาพวกบริษัทปุ๋ย บริษัทเคมีการเกษตร ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งโต๊ะลงทุนให้พรรคการเมือง...นั่นเอง
สำหรับนโยบายจำนำราคาข้าวเปลือก รวมถึงบัตรเครดิตชาวนา ผอ.ไบโอไทย บอกว่า หากมองในภาพรวม "ดูแย่" กว่านโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ และเมื่อเทียบกับยุคคุณทักษิณ เหมือนเป็นประชานิยมยกกำลังสอง เพราะไม่ได้ระบุถึงการจัดการเรื่องงบประมาณ
อีกทั้ง การรับจำนำข้าวเปลือก ก็เป็นการทำลายโครงสร้างการตลาดที่มีอยู่เดิม ในที่สุดแล้วข้าวจะไปกองอยู่กับรัฐเหมือนที่ผ่านมา เกิดการ "กด" ราคาข้าวในระดับโลกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และนโยบายในลักษณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
เปรียบเหมือนการควักกระเป๋าซ้ายมาไว้กระเป๋าขวา เพราะเม็ดเงินที่นำมาใช้ก็คือเงินภาษีของชาวบ้าน
ยิ่งเมื่อพูดถึงนโยบายบัตรเครดิตชาวนาด้วยแล้ว นายวิฑูรย์ บอกว่า จะซ้ำเติมปัญหาหนี้สินของชาวนาเพิ่มขึ้นไปอีก
“เจตนาในการใช้บัตรเป็นไปเพื่อการซื้อปุ๋ยและสารเคมี ก็ชัดเจนว่า การให้เงินกู้ง่ายๆ เงินที่ได้จากการกู้นั้นก็จะไปสู่บริษัทปุ๋ยและสารเคมี ไม่ได้ทำให้เกิดการลดต้นทุน หรือการเพิ่มประสิทธิภาพอะไรเลย การเข้าถึงเงินทุนเป็นเรื่องรอง” ผอ.ไบโอไทย บอก และสรุปตอนท้ายว่า...
หัวใจสำคัญของปัญหาด้านการเกษตรของชนบทและการตั้งกระบวนการหรือปรับโครงสร้างในการผลิต ยังไม่เห็นมีข้อเสนอหรือนโยบายออกมาเลย…