- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- 'ครูจูหลิง หมวดตี้ จ่าเพียร' กับกระบวนการสร้างฮีโร่ของสื่อ
'ครูจูหลิง หมวดตี้ จ่าเพียร' กับกระบวนการสร้างฮีโร่ของสื่อ
ถึงวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์ไฟใต้ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกศาสนา แต่เหตุใด...มีเพียงบางคนที่มีฐานะ “วีรชน” ที่หนักแน่นมากกว่าคนอื่นๆ และดูเหมือนว่า ในระยะหลังๆ คนที่ถูกเรียกว่า “วีรบุรุษ วีรสตรี หรือวีรชน” เกิดมาจากบริบทของความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งการถูกเรียกว่า วีรชน ก็ไม่ใช่ถูกเรียกจากคนในท้องถิ่น ถูกบายพาส ถูกก้าวข้ามจากคนในท้องถิ่นอีกด้วย
“ปรางค์ทิพย์ ดาวเรือง” ผู้ทำวิจัยหัวข้อ “วีรบุรุษ วีรสตรี ในประวัติศาสตร์ชาตินิยมในความขัดแย้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุคใหม่” หนึ่งในโครงการมุสลิมชายแดนใต้กับรัฐไทย: ความ “ไม่มั่นคง” และความเปลี่ยนแปลงจากมุมมองทางการเมืองเรื่องเขตแดนและการเมืองวัฒนธรรม (ชาตินิยม) ได้ตั้งคำถามดังกล่าวขึ้นมา ในบริบทของความขัดแย้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุคใหม่ เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการการเกิดของ “วีรชน” ในสายตาของรัฐไทย โดยเข้าไปดูว่า มีกระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้น หรือฐานะนี้ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือไม่
“ครูจูหลิง ปงกัมมูล ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ (หมวดตี้) และพ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา (จ่าเพียร)” เสียชีวิตในบริบทของความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ หลังยุคทักษิณ ในปีที่ไล่เลี่ยกันตั้งแต่ 2550-2553 โดยผู้วิจัยจงใจเลือกศึกษาจากข้อมูลสาธารณะที่สะท้อนภาพลักษณ์วีรชน ผ่านสื่อสารมวลชน อินเตอร์เน็ต และผ่านงานศิลปะ
อาการเสียชีวิต ถูกตีว่าเป็น “วีรกรรม”
“ครูจูหลิง” กระบวนการการสถาปนาความเป็นวีรชน ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นคนแรก...
เรื่องราวครูจูหลิง รับรู้กันโดยทั่วไปว่า มาจากเชียงราย เสียชีวิตขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี ไล่ย้อนกลับไปดูประวัติ ผู้วิจัยบอกว่า แทบจะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่า เป็นวีรกรรม ขณะที่มีอุดมคติ โดยเฉลี่ยไม่ต่างจากคนทั่วไป หรืออาจกล่าวได้ว่า ครูจูงหลิงไม่มีการตั้งคำถามกับเรื่องอุดมคติของสังคมและของตนเอง
แล้ว...ครูจูหลิงทำไมถึงเป็นวีรชน?
อาการของการเสียชีวิต ถูกตีว่าเป็น “วีรกรรม” คือคำตอบนี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้น กอรปกับการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร ทำให้เรื่องครูจูหลิง กระทบความรู้สึกของคนจำนวนมากในสังคมไทย ดังนั้น แม้ครูจูหลิง ไม่มีวีรกรรม แต่อาการเสียชีวิต ได้กลายเป็นวีรกรรมไปแล้ว
"ยิ่งพอข่าวครูจูหลิงแพร่กระจายไป เราจะเห็นกระบวนการเริ่มต้น สังคมเกิดปฏิกิริยา( react) เร็วเพียงใด มีการทำข่าว ลงพื้นที่ หาข้อเท็จจริง ซึ่งก็ยังคลุมเครือ แต่ที่เป็นประเด็นใหญ่คือ ครูจูหลิงถูกทำอะไรในวินาทีนั้น ภาพถูกหามออกจากหมู่บ้านกูจิงลือปะ นั่นคือภาพที่เกิดขึ้นแล้วคนก็ช็อค พอช็อค กระบวนการทางสังคมก็ทำงานทันที"
ปรางค์ทิพย์ ไปค้นหาต่อ ในโลกอินเตอร์เน็ตก็มีการพูดถึง สื่อกระแสหลัก เกาะติดตามทำข่าวเป็นระยะๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนเสียชีวิต ใช้เวลานานพอสมควรเกือบ 1 ปี
พอครูจูหลิงเสียชีวิตลง กระบวนการสถาปนาและเชิดชูความเป็นวีรชน ก็เริ่มต้นขึ้น ผ่านการรายงาน การสรรเสริญจากหลายๆ ฝ่าย ซึ่งภายหลังครูจูหลิงเสียชีวิต สัญลักษณ์แรกที่เห็น คือการที่รัฐเข้ามามีส่วนสถาปนาสถานะวีรสตรี ก็คือ พิธีศพ
ไม่แค่นั้นพอเสร็จจากงานศพ ก็สร้างถาวรวัตถุของความทรงจำขึ้นมา ทั้งอนุสรณ์สถานที่จังหวัดเชียงราย บทเพลง และภาพยนตร์ พร้อมๆ กับฉายามากมายทั้ง วีรชนเรือจ้าง วีรสตรีเรือจ้าง วีรสตรีผู้เสียสละ ...
หมวดตี้ตายเหมือนเรื่องเหนือจริง
มาถึง ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ “หมวดตี้” ดังตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิต ด้วยเพราะเขียนไดอารี่ออนไลน์ มาเป็นเวลานานกว่า 5 ปี (ตั้งแต่เป็นนักเรียนตำรวจ) ผู้วิจัย เกาะติดความคิดหมวดตี้ ผ่านไดอารี่ออนไลน์ โดยย้อนกลับไปช่วงปี 2551 พบว่า หมวดตี้ใช้สำนวนภาษาที่อ่านแล้วสนุก ตลก สิ่งนี้ทำให้เขามีแฟนคลับมากมาย
ทุกคนรู้ว่า หมวดตี้ ถูกส่งลงพื้นที่
ทุกคนรู้จักชีวิตผู้ชายคนนี้หมด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่ติดตามเขา
แต่พอลงพื้นที่จังหวัดยะลาไปได้สักพัก ปรางค์ทิพย์ บอกว่า ความคิดหมวดตี้เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นคนตลก บางเรื่องก็ไม่ตลกแล้ว เขามีการพูดถึงเรื่องความกดดันของสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ พูดถึงความคิดที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาเกี่ยวกับความขัดแย้ง
ยกตัวอย่างเช่น บันทึกในเดือนเมษายน ปี 2550 หมวดตี้ เขียนไว้ว่า “ดึงมวลชนยากกว่าไปยิงให้คนตายเสียอีก” นอกจากนี้ ยังแสดงความแค้นที่ผู้กองแคน (ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข) ซึ่งเป็นรุ่นพี่เสียชีวิตไป วิธีคิดแบบนี้แสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และครอบครัว และเพื่อนพ้องชัดเจนมาก
ไม่นานจากนั้น หมวดตี้เสียชีวิตในวันเกิด ขณะที่ยังมีคนเขียนเข้ามาอวยพรเขาผ่านทางหน้าเว็บไซต์ การทำงานของโลกไซเบอร์ก็เกิดขึ้น
"ที่แปลก คือ การตายของหมวดตี้เหมือนเรื่องเหนือจริง คนเขียนมาอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าหมวดตี้ตายแล้ว จากนั้นเริ่มมีการเช็คข่าวกัน ซึ่งนอกจากปฏิสัมพันธ์ที่มันแอคทีฟในโลกไซเบอร์แล้ว ยังก่อให้เกิดกระแสความช็อคส่งไปได้อย่างรวดเร็ว” ปรางค์ทิพย์ ระบุ
และไม่ต่างกัน กระบวนการเชิดชูเกียรติหมวดตี้ เกิดขึ้นเช่นเดียวกับครูจูหลิง ที่เหมือนกับการประทับตราจากรัฐรับรอง
นี่แหละคือวีรชน !!
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้แม้หมวดตี้จะตายไปแล้ว แต่ในโลกออนไลน์ “เขาก็ยังมีชีวิตอยู่” เว็บมาสเตอร์ ตัดสินใจเก็บเว็บไซต์อันนี้เอาไว้ เพื่อเป็นความทรงจำ 1 เดือนหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ผู้วิจัย กลับไปตรวจสอบพบสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ 1.5 แสนครั้ง มีคนเขียนเข้ามาไว้อาลัย และหมวดตี้ได้กลายเป็นต้นฉบับ (Role Model) ของเยาวชนจำนวนมาก ที่เขียนเข้ามาพูดคุยกับเขาในเว็บไซต์แห่งนี้
การตายจ่าเพียรสร้างความสะเทือนใจให้สังคม
ส่วนกรณี “จ่าเพียร” ผู้วิจัย ออกปากเลยว่า เป็นบุคคลที่ซับซ้อนมากที่สุด
“จ่าเพียร” มีฉายา นักรบแห่งเทือกเขาบูโด และเป็นคนเดียวที่ได้รับฉายาก่อนเสียชีวิต ด้วยความที่เขารับราชการมาเป็นเวลา 40 ปี มีความคร่ำหวอดในพื้นที่
“จ่าเพียร” มีลักษณะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป คือ ทำงานอย่างถึงลูกถึงคน มีบารมีต่อลูกน้องและคนรอบข้าง เขาไม่เคยปิดบังเรื่องการใช้ความรุนแรงในการทำงานโดยเฉพาะเรื่องของการวิสามัญฆาตกรรม
การตายของจ่าเพียรได้สร้างความสะเทือนใจให้แก่สังคมตั้งแต่ก่อนเขาเสียชีวิต ด้วยการที่เขาและภริยา เดินทางที่ทำเนียบรัฐบาล และร้องเรียนไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“จ่าเพียร” เล่าเรื่องของตัวเอง พร้อมทั้งร้องไห้
ในตอนนั้นข่าวจ่าเพียรออกทีวี กระจายไปทั่ว มีคนที่ได้ดู สะท้อนข่าวของจ่าเพียร ดังนี้ว่า....
"ภาพข่าวที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ผู้คนที่เดินไปมาจับจ่ายซื้อของต่างหยุดชมข่าวนี้ทางโทรทัศน์ของร้านค้า ด้วยความสนใจและสะเทือนใจ หลายคนน้ำตาซึม รวมทั้งผู้เขียนด้วย น้ำตาซึม”
นี่คือเหตุการณ์ก่อนจ่าเพียรจะเสียชีวิต
จากนั้น เมื่อเขากลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง แต่สิ่งที่ได้สะท้อน คือความไม่เป็นธรรมของกลไกในระบบราชการนั้น ปรางค์ทิพย์ มองถึงการออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้จ่าเพียรได้รับความเห็นอกเห็นใจ...
“จ่าเพียร” เป็นคนรู้เท่าทันระบบราชการ ในงานวิจัย ได้มีการค้นพบว่า จ่าเพียรพูดถึงคำว่า “วีรบุรุษ” ขึ้นมาครั้งหนึ่งว่า...
“ในสถานการณ์ภาคใต้บางคนยังไม่ได้ทันได้รบ แต่ถูกยิงเสียชีวิต แล้วถูกสดุดีว่าเป็นวีรบุรุษแล้ว แต่คนที่ทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวันกลับไม่ได้รับกำลังใจ”
เขายังพูดถึงวีรบุรุษบ่อยครั้ง แล้วบอกว่า ตัวเองไม่อยากตายอย่างวีรบุรุษ แต่จ่าเพียรก็ไม่ได้เลือกและถูกทำให้กลายเป็นวีรบุรุษ
“จ่าเพียร” ผ่านกระบวนการเชิดชูเกียรติต่างๆ โดยรัฐ เช่นเดียวกับ “ครูจูหลิง” และ “หมวดตี้” มีการเสนอให้สร้างอนุสาวรีย์จ่าเพียร แอ๊ดคาราบาวก็แต่งเพลงให้จ่าเพียร โดยมีเนื้อหาเยาะเย้ยระบบราชการ
จุดที่น่าสนใจ เรื่องราวของจ่าเพียรทำให้คนมองว่า ผู้ร้ายตัวจริงที่ฆ่าจ่าเพียร ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นระบบราชการ ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์และต่อสู้อยู่ ที่ซับซ้อนกว่านั้นนั่นก็คือ การละเมิดกฎหมายด้วยวิสามัญฆาตกรรม เป็นที่ยอมรับได้ในกรณีของจ่าเพียร แรงหนุนจากสังคมและสื่อ ทำให้รัฐที่จ่าเพียรประกาศตัวเป็นศัตรู จำต้องยอมรับ เขยิบฐานะจากวีรบุรุษของประชาชน เป็นวีรบุรุษของชาติ
ปรางค์ทิพย์ วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ครูจูหลิง หมวดตี้ และจ่าเพียร มีลักษณะร่วม คือ 3 ท่านนี้ เป็นตัวแทนของคนธรรมดาในสังคมไทย พอถูกเชิดชูให้เป็นวีรชน เขาก็เปลี่ยนจากการเป็นปัจเจกกลายเป็นอุดมคติที่มีใบหน้า ความสะเทือนใจมีผลกระทบที่กระตุ้นให้ได้รับการสถาปนาสถานะของความเป็น “วีรบุรุษ”
“รัฐมีกระบวนการสถาปนาวีรชนในรูปแบบที่เป็นแบบแผนเดียวกัน คือพิธีกรรม การสดุดี และการให้รางวัล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันลำพังรัฐอย่างเดียวอาจทำได้ไม่หนักแน่นพอ หากไม่ได้รับการสนับสนุนโดยสื่อ เพราะสื่อมีบทบาทชัดเจนในการเข้าไปสร้างวาระ (Agenda) และเลือกว่าใครควรเป็นวีรชน ขณะเดียวกันอินเตอร์เน็ตก็ทำให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการกำหนด ความเป็นวีรชนมากขึ้น” ผู้วิจัย ย้ำชัด
ก่อนตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายไว้ว่า ...กระบวนการสถาปนาวีรชน จากกรณีที่ศึกษามาเหล่านี้ รัฐมีอำนาจน้อยลงหรือไม่ หากเทียบกับยุครัฐชาติสมัยต้นๆ
ศ.ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ มธ. กับมุมมองวีรบุรุษ วีรสตรี
“ผมมีเอกสารที่ใช้อยู่ 2 ชิ้น อันแรกคืองานของ ซิดนีย์ ฮุค (Sidney Hook) The Hero in History
งานของฮุค พูดถึงว่า ในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศไม่มีช่วงไหนที่ส่วนใดของสังคมมองว่า คับขัน คนจะมองมีปัญหาสังคมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นฮีโร่เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่า ยุคใดก็ตาม แม้กระแสสังคมชี้นำหรือผลักดัน ในความหมาย ฮีโร่จะจริงหรือไม่จริงก็ได้ อาจเป็นที่ยอมรับหรือไม่เป็นที่ยอมรับก็ได้
เชื่อมโยงถึง งานของ แอแลกซิส เดอ ทอคเกอวิลย์ (Alexis de Tocqueville) ประชาธิปไตยในอเมริกา (The Democracy in America) ทอคเกอวิลย์ พูดถึง อเมริกา ยุโรป โดยมีหมวดหนึ่ง โดยตั้งคำถามว่า ทำไมอนุสาวรีย์ในยุโรป ถึงใหญ่มาก มีน้อยชิ้นน้อยแห่ง แต่ละแห่งใหญ่โต แต่อนุสาวรีย์ในอเมริกาที่เจอเต็มไปหมด และมีขนาดเล็กทั้งนั้น
คำเฉลยของทอคเกอวิลย์ บอกว่า มันเป็นเรื่องของรูปแบบการปกครอง สังคม
- สังคมยุโรปเป็นสังคมที่ มีชนชั้นสูงปกครอง ฉะนั้นฮีโร่ก็ต้องมาจากชนชั้นสูง และเมื่อชนชั้นสูงเป็นคนสร้าง ก็ต้องใหญ่โตมโหฬาร และเลือกฮีโร่จากคนจำนวนน้อยมาสร้าง
- แต่อเมริกาไปทางไหนก็เจอแต่อนุสาวรีย์ เป็นอนุสาวรีย์กระจอก เพราะว่า เป็นสังคมประชาธิปไตย คนในพื้นที่ก็จะรู้สึกว่า คนนี้เก่ง คนนี้เข้าท่า เขาก็สร้างอนุสาวรีย์ให้ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม หากคนในพื้นที่มีความรู้สึกว่า ดีเขาก็สร้างให้ เนื่องจากประชาชนสร้างเอง ก็เลยมีขนาดเล็ก
ขณะที่ความคิดของฮุค เวลาพูดถึงฮีโร่ ไม่ต้องพูดถึงคุณค่าทางศีลธรรม
ในกรณีของฮุค ฮีโร่ของเขาคือปัจเจกบุคคลซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินทิศทางของประวัติศาสตร์ หากไม่ใช่คนๆ นั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างที่มันเกิด ดังนั้นฮีโร่จึงยิ่งใหญ่ในสิ่งที่เขาทำ และมีลักษณะเฉพาะตัวที่ยิ่งใหญ่ของเขาเองด้วย
หากเรานิยามแบบนี้ คำว่า วีรบุรุษ วีรชน วีรสตรี ในภาษาไทย เรามีศัพท์น้อยเกินไป เรามีถ้อยคำน้อยเกินไป ผมนึกถึงฮีโร่ที่สื่อไทยพูด ในภาษาอังกฤษมีคำว่า “Martyr” คือคนที่เสียชีวิต ยอมตายในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ภาษาไทยเราแปลว่า มรณสักขี
หากเรานำคำนี้มาจับกรณี ครูหลิง หมวดตี้ และจ่าเพียร อย่างมากก็เป็นได้แค่ Martyr เพียงแต่ว่า เราใช้คำพูดใหม่ ไม่ถึงกับเป็นฮีโร่ เป็นมรณสักขี ก็จะอธิบายได้ว่า ครูจูหลิงไม่ได้มีบทบาทเป็นฮีโร่ แต่สามารถเป็น Martyr ได้ ซึ่งง่ายกว่า การสร้างฮีโร่
เพราะฮีโร่ต้องทดสอบกับกาลเวลานานพอสมควร และในระยะยาว คนในพื้นที่จะรับหรือไม่
ท้ายที่สุดวีรชนทั้ง 3 จะคงสถานะความเป็นวีรบุรุษ ของสังคมไทยตลอดไป หรือเป็นเพียงปรากฎการณ์ ชั่วขณะที่อาจลืมเลือนไปตามกาลเวลา ผมตอบได้เลย ไม่อยาก ไม่นาน คนไทยลืม เพราะเป็น Martyr ที่ถูกสร้างขึ้นจากเบื้องบน ไม่ใช่แม้แต่ Martyr ของคนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ได้เป็นตำนานของพื้นที่
ผมฟันธง เพราะเอาตามความคิดทอคเกอวิลย์ มาจับ ในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนสามารถสร้าง Martyr หรือฮีโร่ของเขาได้เอง หมายความว่า เขามีสิทธิที่จะไม่รับฮีโร่ของที่อื่น และหากเป็นแบบนี้ 3 ท่านนี้ก็มีอันเป็นไปตามกาลเวลา”