- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปฏิรูปกองทัพ กับ “อินโดฯโมเดล” เนื้อในทหารพร้อมรับการปรับตัว
ปฏิรูปกองทัพ กับ “อินโดฯโมเดล” เนื้อในทหารพร้อมรับการปรับตัว
กลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เมื่อการแสดงความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ผ่านสื่อในเครือข่ายของกองทัพทั้งช่อง 5 และ ช่อง 7 ต่อจุดยืนของกองทัพในการเลือกตั้ง ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึง “เส้นแบ่ง”ระหว่าง “ทหาร กับ การเมือง” ในห้วงระยะเวลานี้
แม้จะมีเสียงสะท้อนจากคนใกล้ชิดว่า “เป็นเจตนาดี” และเป็นตัวตนของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ที่เป็นห่วงชาติบ้านเมือง และ เกรงว่าพรรคการเมืองที่มีกลุ่มการเมือง”ล้มเจ้า” จะเข้ามาบริหารประเทศ
แต่ผู้สนใจในองค์ความรู้เกี่ยวกับความมั่นคง กลับตั้งคำถามถึงการแสดงออกดังกล่าวในเชิงวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้อำนาจของผู้นำกองทัพ และ มองว่าจากสภาวะปัญหาของชาติที่ต้องพึ่งพาศักยภาพของทหารในการแก้ไขปัญหาจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ทั้งปัญหายาเสพติด ภัยพิบัติ ก่อการร้าย การรักษาความสงบเรียบร้อยจากกลุ่มผู้ชุมนุม ความแตกแยกของคนในชาตินั้น “ทหาร” ได้จัดอันดับความสำคัญสิ่งเหล่านี้รองจากเรื่องการเมืองหรือเปล่า
ไม่นับรวมบทบาทในการเข้าไปจัดการอำนาจทางการเมืองด้วยรูปแบบต่างๆ ในลักษณะที่เบาสุด ไปหนักสุด นั่นก็คือการ “ล็อบบี้”เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เลยไปถึงการปฏิวัติรัฐประหาร
เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดง และ กลุ่มนักวิชาการ มีเวทีในการแสดงความคิดเห็น ประเด็นหลักที่ต้องหยิบยกขึ้นมาอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ยังคงเป็นเรื่องการปฏิรูปกองทัพและความมั่นคง พร้อมกับคำถามมากมายเกี่ยวกับ การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร การเติบโตของอำนาจและการขยายตัวของหน่วยในกองทัพบก การพัฒนาอาวุธยุทโธกรณ์แบบก้าวกระโดด จากศตวรรษที่ผ่านมาถูกชะลอการพัฒนามาช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้คือเสียงสะท้อนจากภายนอกกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ในความเป็นจริงกระแสการปฏิรูปกองทัพก็ดังมาจากกองทัพในทุกทิศทุกทางเหมือนกัน เพียงแต่ว่าวัฒนธรรมองค์กรสอนให้ทหารต้อง “หุบปาก” และปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จนทำให้แนวความคิดดีๆ ไม่ได้รับการตอบสนองในทางปฏิบัติและ “พลังเงียบ”ยังคงเงียบต่อไป
แต่ในสถาบันการศึกษาของทหารมีข้อยกเว้น ที่ทำให้ “ทหารสายวิชาการ” สามารถหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาพูดได้ โดยไม่มี “กฎเหล็ก”ของกองทัพค้ำคอ อย่างน้อยตำแหน่งในสายวิชาการอย่าง ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ(สปท.) ซึ่งถือเป็นสายการศึกษาขึ้นตรงกองบัญชาการกองทัพไทย ก็เปิดโอกาสให้นักวิชาการจากทุกสถาบันการศึกษา และ นักวิชาการต่างประเทศได้แลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างสม่ำเสมอ
และ ปัจจุบันมี พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ที่ผ่านประสบการณ์ทั้ง “บู๊”และ “บุ๋น” ทำหน้าที่เป็น ผบ.สปท. สวมบทนักวิชาการทหาร ด้วยเส้นทางเดินที่พลิกผันจาก ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และ เป็นหนึ่งในแคนดิเดท 5เสือทบ.ในยุคที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผบ.ทบ ก็ต้องสวมหมวกอาจารย์ ถ่ายทอดความรู้ให้ทหาร
แม้จะถูกมองเป็น “ทหารแตงโม” เพราะเป็นเพื่อน ตท.10 ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอยู่คนละขั้วกับ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่ก็เป็น “ลูกน้อง”ที่ใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี มากที่สุดคนหนึ่ง ดังนั้น มุมมองที่สะท้อนออกมาในเชิงวิชาการจึงน่าจะมีความหลากหลาย เป็นเรื่องใหม่ที่เวทีเสวนาในช่วงนี้สนใจ
เครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ กับ การเปลี่ยนประเทศ เชิญ พล.อ.ภุชงค์ ไปพูดเรื่องดังกล่าว ในเวทีอภิปรายที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ วันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีหลายประเด็นที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นว่า วงวิชาการทหารตื่นตัวต่อการศึกษาบทบาทของตนเองในช่วงเปลี่ยนผ่าน
สปท.มีนักวิชาการใน และ ต่างประเทศมาบรรยายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการกันบ่อยครั้ง จนพบข้อมูลว่าอินโดฯ เป็นประเทศที่เป็นตัวอย่างในการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งประสบการณ์ด้านการปฎิรูปกองทัพมักเกิดขึ้นในประเทศโลกที่สาม ที่มีผู้นำประเทศที่ครองอำนาจกันยาวนาน หรือ ปรากฎการณ์ปฏิวัติดอกมะลิ ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ผู้นำจะครองอำนาจยาวนาน ผู้ปกครองเป็นเผด็จการ ไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดจากประชาชน กรณีของ อินโดนีเซีย แม้จะเสียเลือดเนื้อบ้าง แต่ก็เสียน้อยมาก
พล.อ.ภุชงค์ บอกว่า การปฏิรูปกองทัพแบบ อินโดฯโมเดล ที่ราบรื่นนั้นส่วนหนึ่งเกิด กลุ่มที่เป็นทหาร ตำรวจ นักวิชาการ ร่วมกันคิด ออกกฎหมายมาให้ทหารป้องกันประเทศอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถือเป็นการปฏิรูปแบบเลี้ยวซ้ายเต็มที่ ซึ่งบังเอิญว่าทำสำเร็จ กลุ่มทหารที่อยู่ในอำนาจตรงนั้นเห็นดีเห็นงามด้วย หลังครอบครัวซูฮาร์โต้ ออกจากการยึดกุมอำนาจรัฐ ระบบการเมืองก็จัดการตัวเขาเองได้ หลังจากนั้น 10 กว่าปีที่ผ่านมา การเมืองและ เศรษฐกิจ พัฒนาพอสมควร
“ที่ห่วงว่าสภาพในประเทศไทยใครจะจัดการนั้น มีวงสนทนาหลายวงที่ผมเคยได้ยิน มีอดีตประธานสภาท่านหนึ่งบอกว่า การเมืองถ้าทหารไม่ทำ 19 กย. เขาคงจะจัดการเขาเองได้ ผมเองก็ไม่สามารถพูดเลยไปกว่านั้นได้ เพราะเขาจะหาว่าเป็นกบถทหาร แต่ส่วนตัวยืนยันว่า รัฐประหารไม่อยู่ในวิญญาณเลย ผมไม่ทำแน่ แต่ผมไม่ทราบว่าบุคคลอื่นที่เขาทำและเกิดขึ้นมาเขามีอะไรที่อยู่ข้างหลังหรือเปล่า คำถามคือว่าการเมืองจะจัดการกันเองได้ไหมในช่วงต่อไป โดยทหารไม่ต้องเข้าไปยุ่ง จะรบกันนองเลือดไหม ตอบยาก แต่ผมเชื่ออยู่อย่างว่าประชาชนต้องช่วยกัน และใช้มีสติปัญญาในการพิจารณาข่าวสาร อย่าตกเป็นเครื่องมือ จากข่าวสารที่ปั้นแต่ง เอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้งและสังคมไทยเราไม่เคยฆ่าฟันกันระเนระนาด เราเป็นสังคมที่รักสงบ จะมาเกิดการฆ่าฟันกันตาย คงไม่ถึงยุคตรงนั้น “ พล.อ.ภุชงค์ ระบุ
ข้อกังวลบางประการที่น่าจะเป็นหัวใจหลักในการทำให้กองทัพ ปรับตัวได้ยาก เพราะภารกิจที่มากไปกว่าการทำหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญ การร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานภาคพลเรือนเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่แล้วนั่นคือ จิตวิญญาณ และ การทำหน้าที่อันทรงเกียรติ คือการพิทักษ์รักษาสถาบันกษัตริย์
ภาพของกองทัพจึงเปรียบเสมือน “เอเย่นต์” และภาคแสดงทางการเมืองของสถาบัน จากการตีความของกลุ่มวิพากษ์เจ้า การรุกคืบในการปรับเปลี่ยนกองทัพ คือการส่งสัญญาณไปสู่การเปลี่ยนผ่านของระบอบทางการเมืองที่มีบางกลุ่มต้องการให้เป็นไปตามโมเดลที่ตัวเองต้องการ จึงกลายเป็นเครื่องมือที่กลุ่มการเมืองใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในการปลุกระดม แต่ในส่วนของกองทัพเองนั้น เชื่อว่าแม้จะมีการปรับ หรือปฏิรูปไม่ให้กองทัพยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ก็ไม่กระทบต่อสถาบัน เพราะเนื้อแท้ของคนที่เป็นทหารยังคงยึดมั่น เทิดทูน ปกปักษ์รักษา สถาบันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
พล.อ.ภุชงค์ มองในประเด็นนี้ว่า สถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด กษัตริย์ทรงเป็นองค์จอมทัพไทย ท่านคือประมุขของประเทศชาติ เราไม่ควรมองในช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ แต่ควรจะมองย้อนในอดีตว่า สถาบันกษัตริย์ทำให้เรามีประเทศชาติ โดยเฉพาะพระองค์ท่านที่ทรงทรงคุโณปการให้ประเทศ แม้แต่ประเทศรัสเซียที่ล้มระบบกษัตริย์ไปแล้ว ประชาชนยังโหยหาระบอบกษัตริย์กลับมา ลองไปศึกษาดู ดังนั้นกองทัพต้องดูแลพระมหากษัตริย์เพราะท่านมีคุโณปการใหญ่หลวง ผมเป็นทหารมาตลอดชีวิต
กระนั้น เขายังเห็นว่าการทำหน้าที่ของทหารในกรอบที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้น จะทำให้คนเชื่อมั่นในทหาร และ รักทหารมากขึ้น ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้ ทหารหัวก้าวหน้าในกองทัพหลายกลุ่มที่คิดว่าน่าจะจุดที่สมดุลในการทำให้กองทัพมีความเข้มแข็งในการทำหน้าที่ของตัวเอง การปกป้องสถาบัน จนสร้างภาวะที่ประชาชนยอมรับ และรักทหาร ที่เสียสละเพื่อคนในชาติอย่างแท้จริง ไม่มองทหารอย่างระแวงอย่างเช่นปัจจุบัน
“ผมไปสหรัฐฯ ไปเดินห้างฯ มีคนสูงอายุหันมามองทหารและใช้คำพูดว่า “แทงกิ้ว” แสดงว่าคนอเมริกันรักทหารมาก ผมอยากฝันเห็นประเทศไทยเป็นอย่างนั้น แต่ประเทศเราจะต้องปฏิรูปกองทัพให้เป็นกลไกรัฐที่ดีในการประคับประคองดูแลประเทศชาติของ อยากให้พวกท่านมองเห็นทหารเป็นของมีค่าของพวกท่านไว้ปกป้องดูแลชาติบ้านเมือง อย่าคิดว่าทหารเป็นส่วนที่แปลกแยก และ อย่าคิดว่าทหารเหมือนคนที่พูดออกสื่อโฆษณาทุกวัน ทหารจริงๆ ที่อยู่ในกองทัพอาจคิดไม่เหมือนกันได้ ซึ่งองค์กรทหารเราถูกปลูกฝังให้ใช้ในการสงครามว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาขององค์กรเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ต้องปฏิรูป ในประเทศเจริญแล้วเขามีในสิ่งนี้ การแลกเปลี่ยนความเห็นมีมากกว่าประเทศเรา คนที่คิดเหมือนผมมีเยอะ และพร้อมเดินไปในระบอบ ประชาธิปไตยของประเทศไทย ที่พร้อมปฏิรูปประเทศไทยให้ดีขึ้น” พล.อ.ภุชงค์ ระบุ
ความเห็นของ พล.อ.ภุชงค์ น่าจะเป็นเงาสะท้อนสภาวะในกองทัพได้เป็นอย่างดี กระแสการสร้างกองทัพอาชีพให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่น่าเป็นแค่แนวคิด หรือ หลักการสวยหรู เพื่อไว้ใช้โฆษณากับป้ายตราประชาธิปไตย และหากเริ่มทำกันในตอนนี้ จะมีเวลาเพียงพอให้คนในกองทัพได้ปรับตัว ลดแรงต้านจากกลุ่มที่มีอำนาจ ซึ่งน่าจะส่งผลทางบวก และ ทำให้กองทัพมีความมั่นคง เข้มแข็งในการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต ปราศจากการถูกโจมตีว่า เป็นองค์กรที่เหนี่ยวรั้งประชาธิปไตย และ เป็นแค่กลไกในการแทรกแซงทางการเมืองตลอดกาล