- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิดนโยบาย "การศึกษา" เมื่อ"เพื่อไทย"ชู"พักหนี้ครู"สู้"เรียนฟรี15ปี"ปชป.
เปิดนโยบาย "การศึกษา" เมื่อ"เพื่อไทย"ชู"พักหนี้ครู"สู้"เรียนฟรี15ปี"ปชป.
ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม เข้าไปทุกที การหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
แต่ละพรรคการเมืองต่างก็พากันงัดนโยบายต่างๆ ของพรรค ที่คิดว่าจะเป็น "ไม้เด็ด" หรือ "ไม้ตาย" ที่จะเรียกคะแนนเสียง หรือเพื่อจูงใจให้คนไทยทั่วทั้งประเทศ หันมาเทคะแนนเลือก ส.ส.ระบบเขต และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ ของตนกันอย่างขะมักเขม้น
แต่ดูเหมือนนโยบายที่พรรคต่างๆ จะงัดออกมาหาเสียงกันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนโยบายด้าน "การเมือง" ซึ่งจะเน้นนโยบายปรองดอง และความสมานฉันท์ของคนในชาติ
ขณะที่นโยบายด้าน "เศรษฐกิจ" ก็มุ่งนโยบายประชานิยมกันขนานใหญ่ ชนิดลด แลก แจก แถม เกทับปรั๊ฟแหลกกันระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ๆ ไปจนถึงพรรคการเมืองขนาดกลางๆ ก็ไม่เว้น
เรียกว่าเร่ขายฝัน (หวาน) กันยกใหญ่ ทั้งๆ ที่โอกาสที่จะทำให้นโยบายเหล่านี้ไปถึงดวงดาวได้นั้น มีน้อยมากๆ ถ้าแต่ละพรรคการเมืองยังคงแสวงหาผลประโยชน์เพื่อคนบางคน หรือมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ของพวกพ้องของตัวเอง มากกว่าผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศ
ส่วนนโยบายทางด้าน "สังคม" ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้อยู่ดีกินดี มีระบบประกันสุขภาพที่ดี และมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาตลอดชีวิตนั้น ยังไม่ค่อยมีโอกาสเห็นพรรคการเมืองต่างๆ หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่ หรือเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่เมื่อได้เป็น "รัฐบาล" แล้ว จะเร่งทำเป็นอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม หลายๆ พรรคการเมืองก็ได้ร่างนโยบายด้าน "การศึกษา" ออกมา
เริ่มจาก "พรรคประชาธิปัตย์" ที่ชูสโลแกน "เรียนฟรี เรียนดี มีงานทำ" โดยมุ่งการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาคน และสร้างคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม โดยยังคงมุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับการเรียนฟรีอย่างทั่วถึงตามกฎหมาย พัฒนาคุณภาพการศึกษา และจัดหลักสูตรเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และท้องถิ่น โดยจะกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความพร้อม และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนที่มีรายได้น้อยในสถานศึกษาที่มีคุณภาพ พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา และเพิ่มค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆ
สำหรับนโยบายด้านการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์มีดังนี้ 1.การดูแลทารกในครรภ์และเด็กก่อนถึงวัยเรียน 2.การจัดการศึกษาระดับอนุบาลถึง ม.6 และระดับอาชีวศึกษา โดยให้เรียนฟรี 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลถึง ม.6 โดยจัดสนับสนุนค่าเล่าเรียน ตำรา วิชาเสริมพิเศษ นม ตลอดจนครูเฉพาะทาง เพื่อให้เด็กไทยเรียนฟรีได้อย่างมีคุณภาพ สร้างแกนหลักสูตรทุกช่วงชั้นปีที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล ยกระดับอาชีวศึกษาทั้งระบบ โดยปรับเงินเดือนค่าตอบแทนของผู้สำเร็จอาชีวศึกษาให้สูงขึ้น
3.ระดับอุดมศึกษาขึ้นไป จะขยายกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาในระดับปริญญาตรี และอาชีวศึกษา สนับสนุนความอิสระด้านวิชาการของมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษา ส่งเสริมความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัย 4.การศึกษาตลอดชีวิต โดยปรับบทบาทการศึกษานอกโรงเรียน ให้เป็น “สำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต” จัดศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตในรูปแบบต่างๆ และ 5.การปฎิรูปการศึกษาทั้งระบบ ทั้งการปฎิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ พัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูดี ครูเก่ง พัฒนาหลักสูตรในทุกระดับการศึกษา
เมื่อเรียนจบแล้ว จะต้องทำงานเป็น สร้างงานได้ และมีงานทำ
ส่วนนโยบายด้านการศึกษาของ "พรรคเพื่อไทย" ที่กระแสของพรรคมาแรง แซงพรรคประชาธิปัตย์จากผลโพลหลายสำนัก โดยพรรคเพื่อไทยมีสโลแกนว่า การพัฒนาการศึกษาของประชาชนไทย คือหัวใจของทางออกในทุกปัญหาของการพัฒนาประเทศ และเป็นหัวใจสำคัญของทุกองคคาพยพแห่งการพัฒนาในทุกภาคส่วน การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสู่สังคมไทย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบการศึกษาไทยมีคุณภาพ และความมั่นคงยั่งยืน เป็นโครงสร้างหลักของการพัฒนาประเทศ
สำหรับนโยบายด้านการศึกษาของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ 1.ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาเรื้องรังของชาติ ปฏิรูประบบความรู้ของสังคมไทย จัดโครงการตำราแห่งชาติ จัดระบบการจัดการความรู้ ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติทุกระดับ จัดให้มีครูดีในทุกห้องเรียน ฯลฯ 2.ด้านการสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยกระจายโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทยให้ทั่วถึง จัดให้มีโครงการเรียนฟรีตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพ จัด "โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต" (ICL) พักหนี้ กยศ.โดยปรับเปลี่ยนการจัดเก็บหนี้เป็นระบบ ICL เป็นต้น
3.ด้านการปฏิรูปครู ปฏิรูปครู โดยเร่งยกฐานะครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง ปฏิรูประบบการผลิตครูให้มีคุณภาพทัดเทียมกับนานาชาติ ปฏิรูประบบเงินเดือนและค่าตอบแทนครูให้ทัดเทียมกับวิชาชีพชั้นสูงอื่นๆ ปฏิรูประบบความก้าวหน้าของครู มีโครงการพักชำระหนี้สินครู ครูคนใดมีหนี้สินไม่เกิน 5 แสนบาท จะให้เข้าโครงการพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี ส่วนหนี้สินที่เกิน 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท จะให้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้
4.ด้านการมีงานทำและการประกอบอาชีพของผู้สำเร็จการศึกษา จัดการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สร้างมิติใหม่ของการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา โดยสนับสนุนให้ประกอบอาชีพด้วยตนเอง โดยจัด "กองทุนตั้งตัวได้" ผนวกกับกลไกของ "หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ" ในสถานศึกษา
และ 5.ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา เร่งพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จัดให้มีระบบการศึกษาอิเล็คโทรนิกส์แห่งชาติ (National e-Learning Initiative) เพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ให้เป็นแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) จัดให้มีเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการศึกษาทั่วถึงทุกสถานศึกษา จัดให้มีระบบ "ซัยเบอร์โฮม" (Cyber Home) เพื่อส่งความรู้คุณภาพสูงเข้าสู่ทุกบ้านเรือนโดยระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จัดให้มีระบบเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง (Broadband Wireless Access, BWA หรือ WiFi) เพื่อการศึกษาให้ผู้เรียนได้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จัดให้มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แก่นักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึงในช่วงวาระของรัฐบาล (One Tablet PC per Child) ขยายระบบโทรทัศน์เพื่อการศึกษาให้กว้างขวาง และทั่วถึง ปรับปรุงห้องเรียนทุกห้องในประเทศให้ได้มาตรฐานห้องเรียนอิเล็คโทรนิกส์ (e-Classroom)
ขณะที่ "พรรคชาติไทยพัฒนา" ให้ความสำคัญกับผู้รับการศึกษา โดยตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาของเด็ก และเยาวชน เพื่อให้เติบโตเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ และประสิทธิภาพในการดำรงชีวิต จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทางด้านสติปัญญา สุขภาพจิตและ สุขภาพกาย โดยจะส่งเสริมการเรียนการสอนที่ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้ผู้เรียน จัดให้มีโภชนาการอย่างเหมาะสม โดยการจัดโครงการอาหารกลางวัน เป็นสวัสดิการสำหรับเด็กนักเรียน ให้เรียนฟรีในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้ง จัดหาทุนการศึกษาเพื่อให้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่สูงขึ้น และสร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
พัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการปลูกฝังจิตสำนึก คุณธรรม และความเอื้ออาทรต่อผู้รับการศึกษาแก่ครูผู้สอน รวมทั้ง จัดสวัสดิการครู ส่งเสริมให้เกิดการฝึกอบรมวิทยาการ และองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ทันสมัยแก่ครูและบุคลากร ทางการศึกษา รวมทั้ง สร้างแรงจูงใจให้ครูกลับถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสังคมในท้องถิ่นต่างๆ และสนับสนุนให้ปราชญ์ชาวบ้าน ให้มีส่วนร่วมในการให้การศึกษาให้มากยิ่งขึ้น
ส่งเสริมหลักสูตรบูรณาการ มุ่งส่งเสริมให้หลักสูตรการศึกษาประกอบด้วย การเรียนการสอน การปฏิบัติทั้งวิชาการ และแนวทางการดำรงชีวิต ตลอดจนเป็นหลักสูตรที่สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการสืบสานขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าทำ อย่างมีสติ และมีเหตุผล นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน จัดให้มีตำราเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย และเหมาะสมกับหลักสูตรการศึกษาของผู้เรียนในทุกมิติ รวมทั้ง กลุ่มบุคคลพิเศษ เช่น ผู้พิการ และผู้มีปัญญาเลิศ ตลอดจนจะพัฒนาห้องสมุดให้เป็น แหล่งข้อมูลทางการศึกษาที่ครบวงจร
เพิ่มศักยภาพการบริหารการศึกษา โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของสถานศึกษา โดยส่งเสริม และสนับสนุนการกระจายอำนาจ เพื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน องค์กรทางศาสนา และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนในการจัดการศึกษาทุกระดับ และจะมุ่งส่งเสริมการจัดให้มีสถานศึกษาขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคอย่างเพียงพอ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาของไทยกับนานาประเทศ แลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา วิทยากรทางการศึกษา ข้อมูลความรู้ทางวิชาการ วิธีการ บริหารจัดการ และเทคโนโลยีด้านการศึกษาระหว่างกัน รวมทั้ง จัดสรรทรัพยากรเพื่ออุดหนุนสถานศึกษาอย่างเป็นธรรม และเหมาะสม
ส่วน "พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน" ซึ่งมีนโยบายออกมาสั้นๆ โดยมากับนโยบายสุขความรู้ x2 จะให้ทุนพัฒนาโรงเรียน 2 ล้านบาททุกตำบล กองทุนพัฒนาเยาวชนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 แสนบาท งบประมาณหมื่นล้านสร้างครูของประเทศ และพัก ลด ปลดหนี้ครู และเรียนฟรี 19 ปี อนุบาลถึงปริญญาตรี
ด้านนโยบายการศึกษาของ "พรรครักษ์สันติ" เน้นปัญญาพัฒนา โดยจะมุ่งเน้นการศึกษา พัฒนานักเรียน ครู และสถาบัน โดยจะส่งเสริมปรับปรุงมาตรฐานการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต)
ปิดท้ายที่ "พรรคกิจสังคม" ชูนโยบายพัฒนาการศึกษาทุกระดับ ให้มีคุณภาพสอดคล้องกับการพัฒนา และสภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนตลาดแรงงานใน และนอกประเทศ โดยเพิ่มการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา ในสาขาวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์เป็นการเฉพาะ โดยมุ่งเน้นการปลูกฝังความมีระเบียบวินัย และคุณธรรม ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน รวมทั้ง เร่งขยายการศึกษาสู่ชนบทในทุกภูมิภาคให้ทั่วถึง ทั้งการศึกษาในโรงเรียน และการฝึกอาชีพนอกโรงเรียน โดยการฝึกอาชีพจะเพิ่มการเน้นให้ความสำคัญแก่ผู้ว่างงานหรือตกงาน เป็นลำดับแรก
สำหรับพรรคการเมืองอื่นๆ นั้น ไม่ได้เน้น หรือชูนโยบายด้านการศึกษา แต่จะเน้นนโยบายด้านอื่นๆ เป็นหลัก
ซึ่งจากแนวนโยบายด้านการศึกษาที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้นำเสนอนี้ จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงประกาศที่จะเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง โดยเฉพาะโครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ เป็นปีที่ 3 และการเพิ่มเงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) อีก 2.5 แสนราย
นอกจากนี้ ก็ยังได้เปิดตัวทีมงานด้านการศึกษา ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล บุคคลที่คาดว่าจะถูกวางตัวให้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการ ศธ., นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ., ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน อดีตรองปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, ดร.สืบแสง พรหมบุญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ.และนายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ อดีตปลัด ศธ.
ซึ่งเท่าที่ดูจากรายชื่อที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดออกมา แต่ละคนก็อยู่ในแวดวงการศึกษามาอย่างโชกโชนทั้งสิ้น
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้เข็นนโยบายออกมาสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนโยบายปฏิรูประบบครู ซึ่งจะกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยจะปรับระบบผลตอบแทนเงินเดือนเพื่อจูงใจให้คนดีคนเก่งมาเป็นครู ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยชูเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ครู โดยครูคนใดมีหนี้สินไม่เกิน 5 แสนบาท จะให้เข้าโครงการพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี ส่วนครูที่มีหนี้สินเกิน 5 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท จะให้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้
นอกจากนี้ จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยจะจัดซื้่อแท็ปเลตให้นักเรียนทุกคน โดยใช้งบประมาณถึง 5 หมื่นล้านบาท แม้จะมีผู้ท้วงติงว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ และไม่ใช่การยกระดับคุณภาพการศึกษาก็ตาม ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียน 12 ล้านคน จะต้องใช้งบประมาณมากกว่า 1 แสนล้านบาท
ซึ่งแนวคิดนี้ หากย้อนกลับไปในยุคที่พรรคเพื่อไทยยังเป็น "พรรคไทยรักไทย" ก็เคยชูนโยบาย "One-Laptop-per Child" และได้มีการนำร่องไปบ้างแล้วในบางโรงเรียนประถมศึกษา 7 แห่ง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านักเรียนที่ได้รับแล็ปท็อป ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษาเท่าที่ควร ที่สำคัญ ไม่พบสัญญาณว่าผลการเรียน หรือเกรดนักเรียนดีขึ้น หรือแย่ลง
สำหรับตัวบุคคลที่พรรคเพื่อไทยวางตัวให้คุม ศธ.หากได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น ได้แก่ นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย, รศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา อดีตอธิการบดี และอดีตประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, นายพีรพันธุ์ พาลุสุข อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตประธานกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในอดีตเคยเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการอย่าง "คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา" ระบุว่า ใครก็ตามที่จะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ควรจะหาคนดีมีฝีมือมาทำงานการศึกษา เพราะข้าราชการเบื่อ "รัฐมนตรี ศธ.ฝึกงาน" ที่จะต้องมาเริ่มเรียนรู้งานใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะทำงานได้
แต่สิ่งที่คุณหญิงกษมาฝากถึงรัฐบาลใหม่อีกประการคือ อยากให้รัฐบาลสานต่อนโยบายเดิมให้ต่อเนื่อง เพราะหากเปลี่ยนนโยบายก็จะสร้างความลำบาก อีกทั้ง ควรเน้นนโยบายระยะยาวมากกว่านโยบายระยะสั้นที่หวือหวา
ก็คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า พรรคไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และจะเดินหน้านำนโยบายที่ประกาศต่อสาธารณชน มาปฏิบัติได้จริงจังแค่ไหน หรือเป็นแค่นโยบายที่ใช้ในการเรียกคะแนนเสียงเท่านั้น