- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- กระเทาะโมเดล “โรงเรียนเด็กด้อยโอกาส” VS “ครู (พระ) สอนดี”
กระเทาะโมเดล “โรงเรียนเด็กด้อยโอกาส” VS “ครู (พระ) สอนดี”
วันก่อนได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ในทริปเปิดโมเดลนำร่องต้นแบบ “โรงเรียนเด็กด้อยโอกาส - ครูสอนดี” กับการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ปากท้องและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กต่างวัฒนธรรม 9 ชนเผ่า ที่ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และโรงเรียนวัดดอนจั่น ต.ท่าศาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่
พลันที่ขบวนรถสื่อสัญจร แล่นเข้าถึงเขตของวัดป่าเป้า สายตาเรากวาดไปหยุดที่เด็กๆ พอคาดเดาได้ว่า มีทั้งวัยอนุบาลและประถมศึกษายืนปะปนกันอยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถ ด้วยแววตาที่ดูตื่นเต้น บ้างยิ้มให้ บ้างดูหวาดกลัว…
ลงรถมาเราได้พูดคุยเบื้องต้นกับคณะครู จนทำให้ทราบว่า เด็กๆ เหล่านี้เป็นกลุ่มเด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร์ หรือเด็กไร้สัญชาติ และเป็นเด็กต่างวัฒนธรรม คละชนเผ่า “ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้า” เข้ามาเปิดโอกาสทางการศึกษา เพื่อต่อยอดโอกาสอื่นๆ ในชีวิตให้พวกเขา ตั้งแต่สิงหาคม ปี 2552
ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้า อยู่ในเขตรับผิดชอบของเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต 1 ตามโครงการวิจัยรูปแบบการบริหารจัดการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้ จัดการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา กลุ่มเด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร์ และเด็กต่างวัฒนธรรม จัดการศึกษาให้เด็กในช่วงวัย 4 -14 ปี ด้วยเชื่อว่า หากเด็กเหล่านี้ไม่ได้รับการศึกษา ขาดการกล่อมเกลาทางจิตวิญญาณ คุณธรรม จริยธรรม เขาก็จะเติบโตเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพและคุณธรรม
หนึ่งต้นกล้าน้อยๆ จากศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ “สา” สุนิสา คำหลู่ นักเรียนชั้น ป.4 พาชมกิจกรรมรอบศูนย์เรียนรู้วัดป่าเป้า พร้อมกับเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีโอกาสเข้ามาเรียน ณ ที่แห่งนี้ว่า พวกเธอและเพื่อนๆ บางคน ต้องดั้นด้นเดินเท้าลัดเลาะป่าจากรัฐฉาน ประเทศพม่าแบบผิดกฎหมาย นอนกลางดินกินกลางป่า เป็นเวลาร่วมเดือนกว่าจะมาถึงประเทศไทย บ้างอดข้าว อดน้ำ บ้างก็เสียชีวิตระหว่างทาง แต่ทุกคนมีความมุ่งมั่นเดียวกัน คือ ต้องการมาให้ถึงเขตแดนไทย เพราะมองเห็นความปลอดภัยและโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
ด้วยความที่ยังสื่อสารภาษาไทยก็ไม่ได้ อีกทั้งครอบครัวมีปัญหาทางการเงิน ทำให้ในช่วงแรก “น้องสา” ยังไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องไปทำงานช่วยเหลือครอบครัว แต่เมื่อรู้ว่า ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้า เปิดโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส เด็กไร้สัญชาติ ให้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เธอจึงตัดสินใจใช้เวลาช่วงกลางวัน เข้ามาเรียน และใช้ช่วงเวลากลางคืนไปทำงาน
“ตอนแรกที่มาเรียนที่นี่คิดแค่ว่าอยากได้ประสบการณ์ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประเทศไทย แต่พอเข้ามาเรียนแล้ว กลับได้อะไรมากกว่านั้น ดีใจที่ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้าเปิดโอกาสให้มาเรียนหนังสือ และมีโอกาสอื่นๆ ในชีวิต ขอขอบคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านให้ความเมตตากับเด็กไร้รัฐ ไร้สัญชาติและต่างวัฒนธรรม ให้ได้มาอาศัยในประเทศของท่านและให้โอกาสในการเรียนหนังสือ มีสิทธิ์ มีเสียงเท่ากับเด็กทั่วไป ” น้องสา สนทนาอย่างฉะฉาน ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสัญญาว่า เธอจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเล่าเรียน
คนที่มีบทบาทโดยตรงในการควบคุมดูแลศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ "โกศล ปราคำ" ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 จ.เชียงใหม่ เปิดมุมมองให้ฟังว่า เมื่อประเทศไทยไม่สามารถจัดการกับสภาพการณ์ที่มีผู้อพยพ หรือผู้ที่เดินทางเข้าออกประเทศได้ การจัดการศึกษาให้ลูกหลานผู้อพยพเหล่านี้ จึงเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง
"หากเขาเหล่านี้ อ่านไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ ไม่เคารพกฎหมายไทย ไม่รับรู้ในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่รู้ว่าประเทศไทยให้อะไรกับเขาบ้าง ก็จะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ของสังคมไทยอย่างมหาศาล สุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนก็คือคนไทยนั่นเอง"
ดังนั้น ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้าแห่งนี้จึงเกิดขึ้น ด้วยความร่วมมือร่วมใจของ พระครูอมรวีรคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าเป้า, ชุมชนวัดป่าเป้า, สพป.เชียงใหม่ เขต 3, องค์กรเอกชน และหน่วยงานต่างๆ ที่ให้ใช้ทั้งพื้นที่ อำนวยความสะดวกอุปกรณ์การเรียน บ้างยังสละเวลาอุทิศตัวเป็นวิทยากรให้ในบางครั้งด้วย
การจัดการศึกษาของที่นี่ เรียกได้ว่า เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้แก่เด็กไร้รัฐ ไร้สัญชาติ กลุ่มเด็กด้อยโอกาส โดยจัดการเรียนการสอนกันตั้งแต่ชั้นอนุบาล -ประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 นับรวมๆ แล้วมีนักเรียนถึง 165 คน ขณะนี้การเรียนการสอนมีถึง 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาไทใหญ่ ภาษาอังกฤษ และกำลังเริ่มสอน ภาษาจีน โดยอาสาสมัครซึ่งเป็นนักศึกษาจากประเทศจีน
หลักสูตร มีการออกแบบให้เป็นไปตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ 70% และเติมเต็มเรื่องวัฒนธรรม ชาติพันธุ์หรือชนเผ่า 30% เรียกว่าเป็น “หลักสูตรท้องถิ่น (ไทใหญ่ หรือ คนไต)” เพื่อให้เกิดอัตลักษณ์ของตัวเอง ทั้งในด้านความเชื่อ ภูมิปัญญา ศาสนพิธี อาหารท้องถิ่น การแต่งกาย ดนตรี นาฏศิลป์ และวัฒนธรรมประเพณีของคนไต
ร่วม 2 ปีที่ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้าดำเนินการมา ยูนิเซฟได้เล็งเห็นถึงความสำคัญจึงเข้ามาสนับสนุนจัดทำโครงการ “จากไร่ส้ม สู่สวนคอนกรีต” มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กไร้สัญชาติ เด็กเสี่ยงหลุดระบบการศึกษา และเด็กยากจน ให้เป็น “กรณีศึกษา” เรื่องการส่งเสริมสิทธิเด็ก และ “สิทธิที่จะมีชีวิต” ให้เด็กที่ขาดโอกาส มีสิทธิเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น และจัดการศึกษาให้กับเด็กที่ติดตามพ่อแม่ครอบครัวที่เข้าสู่เมืองเพื่อทำงาน ให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่โครงการนี้ดำเนินการมาได้สักระยะหนึ่ง ผอ.โกศล บอกว่า เกิดการต่อยอดพัฒนา เป็น "เชียงใหม่โมเดล ซีโร่ ดร็อป เอาต์" ขยายโอกาสการมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาสำหรับเด็กไร้สัญชาติไปยังโรงเรียนอื่นๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ และขยายกลุ่มเป้าหมายเด็กด้อยโอกาสเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.เด็กยากจน 2.แม่วัยใส 3.เด็กในสถานพินิจ 4.เด็กไร้สัญชาติ 5.เด็กที่เสี่ยงหลุดระบบการศึกษา
โรงเรียน (นานาชาติ) วัดดอนจั่น
“โรงเรียนวัดดอนจั่น”ต.ท่าศาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ คือ 1 ในจำนวนสถานศึกษาที่สานต่อโครงการ เชียงใหม่โมเดล ซีโร่ ดร็อป เอาต์ สถานที่นี้ เป็นทั้งแหล่งศึกษา สำหรับเด็กพหุวัฒนธรรมโดยเฉพาะ ชูวิธีอบรมบ่มเพาะต้นกล้าน้อยๆ จากหลากชนเผ่า ดึงเด็กไร้สัญชาติกลับสู่ระบบการศึกษา โดยใช้ทั้ง “โมเดลพี่ดูแลน้อง” กับเด็กต่างวัฒนธรรม และสร้างโรงเรียน กิน – อยู่ – หลับ – นอน เรียกได้ว่า ครบวงจรเลยทีเดียว
“โรงเรียนวัดดอนจั่น” รวบรวมเด็กจากหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งชนเผ่ากะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ เย้า ลีซอ ไทใหญ่ จีนฮ่อ มารวมกันอยู่ที่นี่ เป็นวัดแห่งแรกที่มีหลักสูตรตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรี
"ปรีชา ทิพย์บุญราช" ผอ. รร.วัดดอนจั่น ให้รายละเอียดถึงการเรียนการสอนว่า ปัจจุบันมีนักเรียนในชั้น ม.1 – ม.3 จำนวน 518 คน ระดับอาชีวศึกษา วิทยาลัยสารพัดช่าง 200 - 300 คน หลักสูตรปริญญาตรีมีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เข้ามาเปิดสอน 2 คณะ ได้แก่คณะรัฐศาสตร์ การปกครอง ปี 1 ทั้งหมด 17 คน ปี 2 มี 25 คน และคณะนิติศาสตร์ โดยเด็กทั้งหมดของที่นี่ ส่วนใหญ่มาจากเผ่ากะเหรี่ยง เป็นเด็กจากที่ราบสูง เด็กชายขอบ ไร้รัฐ และเด็กไร้สัญชาติ
"พระครูปราโมทย์ประชานุกูล เจ้าอาวาสวัดดอนจั่น ผู้อุทิศตนช่วยเด็กด้อยโอกาสต่างวัฒนธรรม ต่างชนเผ่า บ่มเพาะและปลูกฝังให้เด็กที่นี่ มีความคิด มีระเบียบวินัย และยึดหลักธรรมคำสอนเป็นที่ตั้ง ทำให้แม้ยามที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่เกิดความขัดแย้ง หรือปัญหารุนแรงขึ้น"
ภายใต้รูปแบบการทำงานที่ปราศจากเงื่อนไข 27 ปีแห่งเส้นทางการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสของพระครูปราโมทย์ประชานุกูล ไม่เคยขอรับการช่วยเหลือด้านงบประมาณจากหน่วยงานของรัฐเลย แต่ด้วยแรงศรัทธาของญาติโยม กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจากชุมชนให้ทางวัดได้มีปัจจัยเพียงพอที่จะสานต่อทำโครงการ “กิน-อยู่-หลับ-นอน”
“ครู (พระ) สอนดี” ณ วัดดอนจั่น กล่าวถึงรูปแบบการทำงานเชิงรุกร่วมกับสสค.ภายใต้โครงการ ดึงเด็กไร้สัญชาติกลับสู่ระบบการศึกษา ว่า โลกของการศึกษาต้องอาศัยเงิน แต่โลกแห่งปัญญาอาศัยความอดทน ศีล สมาธิและปัญญา การเรียนที่นี่จึงไม่ต้องกู้เงิน ขอแค่เป็นคนดี และอดทน
ขณะที่ตัวแทนพี่เลี้ยง ณ วัดดอนจั่น ภายใต้โมเดลพี่ดูแลน้อง อย่าง “พอนด์” เสาวรส เงินสุขใจ อายุ 21 ปี เล่าให้ฟังว่า ภายหลังที่จบประถมศึกษาที่โรงเรียนอมก๋อย ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ แล้ว เธอก็มาศึกษาต่อในระดับ ปวช.ที่โรงเรียนวัดดอนจั่นแห่งนี้
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา 5 ปี แล้ว โดยทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เธอจะเรียนระดับชั้น ปวส.คอมพิวเตอร์ ปี 2 ควบคู่ไปกับเรียนระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ การปกครอง ในวันเสาร์
และสิ่งที่ “พอนด์” ต้องทำควบคู่ไปพร้อมๆ กับการเรียน ก็คือสวมบทพี่เลี้ยงให้กับเด็กๆ หรือน้องๆ ที่เธอต้องคอยดูแลตั้งแต่เช็ดปัสสาวะ อุจจาระ ป้อนข้าว พาออกกำลังกาย พาเข้านอน มีการจัดสรร แบ่งกลุ่มพี่ที่มีความรับผิดชอบมาดูแลน้อง และพระอาจารย์ก็จะแบ่งกลุ่มพระมาดูแลอีกระดับหนึ่ง จนเกิดเป็นความรัก ความผูกพันระหว่างพี่กับน้อง
ท่ามกลางองค์ความรู้ที่ได้จากการถอดบทเรียนในการจัดการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส ในกลุ่มต่างๆ นอกจากภาพใหญ่ที่สะท้อนให้เห็น "การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้โอกาสการศึกษา" แล้ว เรายังเห็นพลังการทำงานร่วมกับชุมชน ภาคท้องถิ่น ประชาสังคมที่เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างเข้มแข็ง