- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- รัฐบาลใหม่ใช้เงินมหาศาล ปิดทางงบประมาณสมดุล
รัฐบาลใหม่ใช้เงินมหาศาล ปิดทางงบประมาณสมดุล
นักเศรษฐศาสตร์ “ขีดเส้นใต้” นโยบายรัฐบาลใหม่ อาจกระเทือนสถานะการคลังอย่างแรง ทั้งการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี ปรับค่าแรง 300 บาท เลิกกองทุนน้ำมัน และจำนำข้าว สุดท้ายไม่ใช่เงินของใคร แต่ประชาชนทั้งประเทศแบกภาระ เตือนหาเสียงไว้ห้ามพลิกพลิ้ว อาจกระทบความเชื่อมั่นตัวนายกรัฐมนตรี
หลายโครงการที่พรรคเพื่อไทยเคยขายฝันเอาไว้ กำลังจะถูกหยิบไปวางใน “โรดแมป” หรือแผนยุทธศาสตร์นโยบายรัฐบาล ซึ่งมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
แม้จะยังไม่สตาร์ทเครื่องคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ทีมงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ก็ระดมเรียกข้าราชการเข้าไปจดเลคเชอร์นโยบายสำคัญ ที่ต้องใช้งบประมาณก้อนมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท การจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท หรือการยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นนโยบายหาเสียงที่สวยหรู นำไปสู่คะแนนเสียงท่วมท้น
ขณะที่เสียงสะท้อนของภาคเอกชนดูจะไม่ตอบรับเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท เนื่องจากกระเทือนต่อธุรกิจเอสเอ็มอี ที่เป็นฟันเฟืองผลิตสินค้าขั้นต้น ยังต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก อาจล้มหายตายจากระบบเศรษฐกิจ
ในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้จะถูกโจมตีว่า พลิกพลิ้วนโยบายหลายเรื่องที่หาเสียงไว้ แต่ประเด็นสำคัญคือ นโยบายของพรรคเพื่อไทยเที่ยวนี้ เป็น “เดิมพัน” สำคัญของการแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลงได้จริงหรือไม่
นางปราณี ทินกร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยกับ “ไทยรีฟอร์ม”ว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยบางเรื่องอาจต้องใช้งบประมาณแผ่นดินสูง บางเรื่องเป็นการให้ภาคเอกชนดำเนินการ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งสุดท้ายแล้ว ภาคเอกชนต้องเรียกร้องให้รัฐบาลชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป
คำถามก็คือว่าเงินที่ชดเชยนี้จะเอามาจากไหน ถ้าไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน!!!
“นโยบายของพรรคเพื่อไทยบางเรื่อง จะเป็นภาระกับงบประมาณแผ่นดินโดยตรงไม่ใช่เงินส่วนตัวของใครที่จะมาจ่ายให้ในการบริหารจัดการตามนโยบายที่หาเสียงไว้” นางปราณีระบุ
ยกตัวอย่างเงินดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ก็มีถามว่า คนที่ทำงานมาหลายปี เงินเดือนปรับเพิ่มทีละน้อย ขณะที่คนจบใหม่เข้ามาทำงาน จู่ๆได้รับเงินเดือน 15,000 บาททันที จะทำได้หรือไม่
ดังนั้น หากขยับขึ้นก็คงต้องขึ้นให้ทั้งระบบ ซึ่งในส่วนของภาครัฐอาจต้องปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการอีกรอบ แต่ก็ถือว่าไม่ยากเท่ากับภาคเอกชน ซึ่งรัฐไปบังคับไม่ได้
ต้นทุนของรัฐบาลด้านอื่นๆ ยังมีนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้คือยุทธศาสตร์พัฒนาสตรีให้เงินกองทุนจังหวัดละ 100 ล้านบาท การลดการ เก็บภาษีเข้ากองทุนน้ำมัน การจำนำข้าวตันละ 15,000 บาททั่วประเทศ ฯลฯ
โดยก่อนหน้านี้ นายโอฬาร ไชยประวัติ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย มีการจัดทำโมเดลการใช้เงินตามยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยไว้ว่า หากดำเนินการทั้งหมดจะต้องใช้วงเงินถึง 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบประมาณแผ่นดิน , เงินนอกงบประมาณ และการกู้เงินจากต่างประเทศ
นางปราณี เชื่อว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ได้ระดับหนึ่ง แต่คำถามก็คือรัฐบาลจะฝืนกลไกตลาดได้หรือไม่ อย่างกรณีค่าจ้างขั้นต่ำที่แต่เดิมเป็นการตั้งสมมติฐานว่า ผู้ที่ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน จะต้องได้รับค่าจ้างในอัตราเท่านี้ แต่ความจริงเอกชนมีการหลีกเลี่ยงอย่างมาก รัฐจะดำเนินการตามกฎหมายได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีแรงงานจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างถึงระดับค่าแรงขั้นต่ำ
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยก็มีทางออกคือการจ้าง “แรงงานต่างด้าว” ซึ่งแรงงานนอกระบบเหล่านี้จะไม่กล้าเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ทั้งที่กฎหมายให้การรับรองเอาไว้ หากเป็นเช่นนี้รัฐจะดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา
“ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง เพราะตามข้อมูลที่พบคือค่าจ้างที่แท้จริงหลังหักเงินเฟ้อแล้ว ไม่ได้สูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ลูกจ้างเสียกำลังซื้อไปจริงๆ แต่วิธีการของพรรคเพื่อไทยคือการสร้างราคาหรือเมคอัพ ซึ่งอาจเป็นการจ่ายให้มากกว่าที่ตลาดจะรับได้ ซึ่งจะสร้างปัญหาตามมา แม้จะเห็นใจว่าค่าแรงงาน ควรปรับขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ แต่ก็ต้องดูผลิตภาพของแรงงาน หรือดูประสบการณ์ด้วย” นางปราณีระบุ
สุดท้ายรัฐบาลก็มีภาระต้องชดเชยให้ภาคเอกชน ไม่ว่าทางใดก็ตาม เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 30% แต่ตรงนี้ต้องระวัง เนื่องจากรายได้จากภาษีส่วนนี้มีถึงปีละ 4 แสนล้านบาท ถ้าลดแล้วขยายฐานเก็บภาษีได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ายังขยายฐานไม่ได้ เงินก้อนนี้ก็จะลดหายไปจำนวนมาก โอกาสที่จะทำงบประมาณสมดุลก็ยิ่งยากขึ้น
ยกเว้นรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่สูงมาก แต่จะทำได้หรือไม่ท่ามกลางปัญหาของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป ที่ยังรุมเร้าในขณะนี้!!!
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชื่อว่า ทิศทางของงบประมาณประเทศขณะนี้ คงไม่มีทางที่จะกลับไปสู่สมดุลได้ในระยะ 5 ปีแน่นอน หากทำได้ก็เท่ากับเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา โดยเชื่อว่าเงินที่รัฐบาลนี้จะใช้ในโครงการประชานิยม คงเอามาจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดิน เงินนอกงบประมาณในแบงก์รัฐ รวมถึงควักมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศ
“สุดท้ายก็ต้องไปดูว่าจะมีความเสี่ยงด้านฐานะการคลังของประเทศหรือไม่” นางปราณีระบุ
ตามตัวเลขของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) พบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ดุลการคลังภาครัฐขาดดุลไปแล้ว 3.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 44.8%
ขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 จำนวน 2.25 ล้านล้านบาท เป็นงบขาดดุล 350,000 ล้านบาท นับเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลงจากปี 2554 ถึง 70,000 ล้านบาท เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง นำไปสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในช่วง 5 ปีข้างหน้า
นางปราณี กล่าวว่า บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่ดีมีธรรมาภิบาล จะบริหารความเสี่ยง ด้วยการเก็บเงินสำรองเอาไว้รับมือกับอนาคตที่ผันผวนไม่แน่นอน ขณะที่รัฐบาลก็ผูกพันกับเงินของคนทั้งประเทศ จึงต้องระวังความเสี่ยงของระบบการเงินการคลังมาก
ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจที่ออกมาจึงต้องโปร่งใส ชัดเจน ซึ่งในอนาคตการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมือง ควรมีการบอกด้วยว่าจะใช้แหล่งเงินจากไหน จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านการคลังหรือไม่ “ประชาชนฟังนโยบายหาเสียงแล้วคิดว่าตัวเองจะได้อย่างเดียว ไม่มีต้นทุน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในฐานะนักวิชาการ มีข้อสังเกตว่าบางเรื่องพูดอย่าง พอได้คะแนนแล้วมีการพลิกพลิ้ว เชื่อว่าประชาชนต้องติดใจ ถ้าเป็นผู้นำประเทศแล้วมีการพลิกอย่างนี้ จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือและสร้างปัญหาในอนาคต”นางปราณีระบุ
ขณะที่นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ไทยรีฟอร์ม” ว่า ผลกระทบจากการเข้าไปแทรกแซงระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวขนานใหญ่ แต่เชื่อว่า ความสามารถในการปรับตัวจะไม่เท่ากัน โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากที่สุด
“รัฐบาลใหม่ต้องวางนโยบายที่ทำให้เกิดความสูญเสียต่อระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุด” นายตีรณ ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้ค่าใช้จ่ายของประชาชนอาจลดลงจากนโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นการลดราคาน้ำมัน การพักหนี้เกษตรกร หรือการเพิ่มเงินเดือน แต่ในอนาคตต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนด้วย ไม่ใช่ทำเพื่อหาเสียงอย่างเดียว
นายตีรณ มองเช่นเดียวกันว่า ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันถูกกำหนดโดยนักการเมือง จึงทำให้กลไกการดำเนินงานไม่เป็นไปตามปกติ ซึ่งในระยะต่อไป อาจเผชิญความเสี่ยงต่อวินัยด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศ
แม้รัฐบาลใหม่จะยังไม่เริ่ม “ตั้งไข่” เป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ปรากฎคำถามมากมายถึงนโยบายประชานิยมที่ได้หาเสียงเอาไว้ ว่าหากปฏิบัติจริงแล้วจะเกิดผลกระทบที่ตามมาเป็นลูกโซ่อย่างไร
เสียงสะท้อนของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำทำให้สังคมต้องกลับมาสำรวจตัวเองว่า ภาระงบประมาณก้อนมหาศาลในอนาคตเหล่านี้ ใครจะเป็นผู้จ่ายบิล ถ้าไม่ใช่ภาษีของประชาชนทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ต้นทุนของประชาธิปไตยเที่ยวนี้จึงแพงเหลือคณานับ