- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- นโยบายจำนำข้าว อย่าทำเพื่อ “เอาใจ” เพียงอย่างเดียว
นโยบายจำนำข้าว อย่าทำเพื่อ “เอาใจ” เพียงอย่างเดียว
จะใช้นโยบายประกันหรือจำนำ...? “ข้าว” ก็เป็นพืชการเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย ทำรายได้ถึงปีละแสนล้านบาท นอกจากนั้น ข้าวยังเป็นรากฐานทางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือน นโยบายรับจำนำและประกันรายได้เกษตรกรของพรรคการเมือง ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้างถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ การเพิ่มประสิทธิผลในการผลิต รวมถึงการขาดทุนมหาศาล ไม่เพียงแค่นั้น ยังยึดโยงเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการ เกษตรกร นักพัฒนาเอกชนมากมาย โรงสี ผู้ส่งออก เข้าร่วมวงวิวาทะ
ซึ่งปัญหามีว่า ...นโยบายแทรกแซงราคาข้าวทั้งสองส่งผลทั้งบวกและลบต่อตัวเกษตรกร ระบบเกษตรกรรม และสถานะการคลัง ทั้งยังสร้างปัญหาด้านผลตอบแทนส่วนเกินและการฉ้อฉลของกลุ่มต่างๆ ดังนั้นเพื่อร่วมกันวิเคราะห์แนวโน้มนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดใหม่ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ซูซูกิ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า นโยบายนี้ไม่ส่งผลดีต่อเกษตรกร แต่..ในเมื่อมีแนวโน้มว่าจะต้องเกิดขึ้นจริง ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาดู คือ การตั้งราคาจำนำข้าว ว่าตัวเลขที่ออกมาจะสูงหรือต่ำมากน้อยแค่ไหน
“แม้ว่านโยบายราคา ที่ไม่ว่าจะเป็นการจำนำข้าว หรือประกันรายได้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้พี่น้องเกษตรกรสบายใจ แต่ในเชิงหลักการแล้วต้องให้มีการรั่วไหลน้อยที่สุด และส่งต้องตรงต่อถึงเกษตรกรมากที่สุด”
ที่ผ่านมาประกันรายได้ทำได้ดีในเรื่องของการส่งตรงถึงเกษตรกร ขณะที่ นโยบายการรับจำนำข้าวอาจทำให้เกษตรกรมีหลักประกันที่มั่นคงเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่ราคานั้น ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ เห็นว่า ไม่ควรที่จะสูงเกินราคาตลาดที่มันบิดเบือนมากเกินไป
ฉะนั้น จึงเป็นอีกโจทย์สำหรับรัฐบาลใหม่ จะทำอย่างไรให้ราคาอยู่ในระดับที่เกษตรกรสามารถยอมรับได้ และอยู่ได้ ไม่ใช่ตั้งให้สูงเกินไปเพื่อ “เอาใจ” เพียงอย่างเดียว
ส่วนเรื่องของการแทรกแซงตลาดที่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ไม่ใช่แค่การประกาศออกมาเท่านั้น แต่ควรต้องมีมาตรการอื่นๆ ออกมารองรับ และทำให้ครบถ้วนทุกด้านด้วย
ขณะที่ทำในระยะยาวอาจจะมีข้อดีในการช่วยเกษตรกรในเรื่องของการวางแผน ว่าจะได้ราคาประมาณเท่าไหร่ แต่ถ้าราคาสูงเกินไป ก็จะทำให้แรงจูงใจในการผลิตมากเกิน ส่งผลต่อเรื่องการส่งออก และราคาในตลาดก็จะต่ำลง
เรื่องที่อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.ให้จับตาดู นั่นก็คือ “บัตรเครดิตชาวนา” ที่จะมาควบคู่กันกับนโยบายรับจำนำข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่าที่รัฐบาลใหม่ระบุว่า บัตรเครดิตชาวนาใช้สำหรับนำไปซื้อปัจจัยการผลิต เช่นปุ๋ย หรือสารเคมีนั้น สิ่งเหล่านี้จะส่งผลไปถึงเกษตรอินทรีย์ด้วย
คำถามมีว่า ถ้าเกษตรกรไม่นำบัตรเครดิตไปซื้อปุ๋ย หรือสารเคมี จะนำไปเป็นทุนทำปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยชีวภาพได้หรือไม่? และถ้าผลออกมาว่า ไม่ เรื่องที่น่ากลัวก็จะเกิดขึ้น นั่นคือ รัฐบาลก็จะได้ถึงสองต่อ นอกจากจะช่วยเกษตรกรแล้ว ยังจะได้ผลประโยชน์จากพันธมิตรบริษัทปุ๋ย บริษัทสารเคมีอีกด้วย
ฟากผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของไทยอย่าง “วัลลภ พิชญ์พงศา” รองกรรมการผู้จัดการบริษัทนครหลวงค้าข้าว จำกัด ไม่ลังเลที่จะบอกว่า นโยบายจำนำของรัฐบาลเพื่อไทย “งานนี้โรงสีได้ผลประโยชน์เต็มๆ”
เพราะจากเมื่อก่อน “ประกันรายได้” รัฐบาลเป็นผู้จ่ายส่วนต่าง โรงสีนั้นแทบจะไม่มีบทบาท หรืออาจจะมีบ้างในการจัดตั้งโต๊ะรับซื้อ เพื่อพยุงราคา แต่ก็น้อยมาก ผิดกับ “จำนำข้าว” ที่โรงสีจะเข้ามามีบทบาทในนโยบายนี้อย่างมากมาย
“สิ่งที่จะเกิดขึ้น โรงสีอยู่เฉยๆ เกษตรกรจะนำข้าวมาฝากไว้กับโรงสี ในส่วนนี้โรงสีจะได้ค่าเช่าในช่วงเก็บข้าวเปลือก และเมื่อรัฐบาลสั่งให้แปรสภาพจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร โรงสีก็จะได้ค่าแปรสภาพอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นหลักการที่โรงสีควรจะทำ
แต่ปัญหาคือ ช่องว่างสำหรับหาผลประโยชน์มีเยอะในทุกขั้นตอน เช่น ข้าวเปลือกอยู่ในสต๊อกของโรงสี ซึ่งก็สามารถนำข้าวมาสีและขายในตลาด ก็จะได้เงินสดออกมาใช้ก่อนได้ แล้วก็ซื้อข้าวจากตลาดในราคาที่ถูกกว่ากลับมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้มีการขยายโรงสีเกินความจำเป็น พอมีโครงการก็จะขยายไปเรื่อยๆ จนทำให้ปัญหาการบิดเบือนราคาในที่สุด” รองกก.ผจก.นครหลวงค้าข้าว อธิบายให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ
สอดคล้องกับ “ส้มป่อย จันทร์แสง” ผู้จัดการสหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าวสุรินทร์ ตัวแทนของเกษตรกร บอกว่า นโยบายรับจำนำข้าวเป็นการทำลายระบบตลาด และทำลายศักดิ์ศรีของคน ในการที่จะยืนอยู่ในการทำมาหากินของตนเอง เป็นการเปลี่ยนภาวะของการค้าขายในรูปแบบปกติ ให้เป็นสัญญาคู่ค้ากับรัฐ โดยมีโรงสีทำหน้าที่แทนรัฐ
ในท้ายที่สุด ข้าวอยู่ในโรงสี แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ
“ที่ผ่านมา นโยบายการเกษตรของรัฐบาล ล้วนเป็นภาวะจำยอมที่นุ่มนวลของสังคม แม้แต่ตัวเกษตรกรเอง ก็ยากที่จะยอมรับภาวะจำยอมนี้ เพราะจะค้านก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เนื่องจากเป็นนโยบายเพื่อเกษตรกร แต่ถ้าจะให้เห็นด้วยก็อึดอัด”
ถึงบรรทัดนี้ ต้องบอกว่า ยังมีอีกหลายเสียงเล็กๆ ของเกษตรที่ยังไม่วางไว้กับนโยบายใหม่ที่จะเกิดขึ้น พร้อมกับห่วงว่าปัญหาที่จะตามมาอาจมีมากกว่าการประกันรายได้ อาทิ การรับจำนำข้าว จะส่งผลให้ข้าวพันธุ์พื้นบ้านหายไป และจะหันไปส่งเสริมปลูกข้าวหอมมะลิ ตามที่โครงการจะรับซื้อ , ชาวบ้านไม่มีความรู้ ไม่มีภูมิคุ้มกันในการรับจำนำข้าว เพราะส่วนที่รับผิดชอบมีแค่ส่วนของโรงสี และ ธ.ก.ส. และหวั่นว่า บัตรเครดิตชาวนา เป็นการที่รัฐจะส่งเสริมการใช้ยา หรือสารเคมีในทางอ้อม
ดังนั้นทางกลุ่มติดตามและวิเคราะห์นโยบายเพื่อความมั่นคงทางอาหาร กำลังเร่งประมวลข้อเสนอแนะ และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลใหม่ โดย วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี (BioThai) คาดว่า ข้อเสนอจะออกภายในหนึ่งเดือนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อสภา และแม้ว่าความหวังจะมีน้อยในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่ก็อยากให้รัฐบาลได้รับรู้ถึงข้อเสนอจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีเรื่องที่สำคัญ ดังนี้
1.ราคาที่ตั้งไว้สำหรับการรับจำนำ จะต้องไม่สูงเกินไป ถ้าสูงเกินไปจะเป็นการทำลายกลไกการตลาด
2.การรับจำนำที่พ่วงกับบัตรเครดิต เป็นการบีบให้เกษตรกรต้องไปใช้ปุ๋ยและยาของบริษัทปุ๋ยและสารเคมี แทนที่จะเป็นการลดต้นทุนการผลิต และต้องเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถจะไปซื้อปุ๋ยชีวภาพ หรือไปซื้อปัจจัยการผลิตที่ต้องการได้ ต้องไม่มีผูกมัด
3.ต้องคำนึงถึงเกษตรกรอินทรีย์ ที่หันมาลดต้นทุนการผลิตด้วยตนเอง ซึ่งได้รับผลกระทบไปด้วย รัฐบาลควรให้การสนับสนุน ไม่เช่นนั้นเกษตรกรจะหันมาปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการ โดยไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพ และไม่ได้สร้างความมั่นคง ความเข้มแข็งของเกษตรกรในระยะยาว
จนถึงวันนี้ “ข้าวไทย” กำลังก้าวสู่การเป็นพืชการเมืองอย่างเต็มตัว เสื่อมถอยทั้งประสิทธิภาพการผลิต เสื่อมถอยทั้งประสิทธิภาพของกลไกลตลาด ดูเหมือนว่า ทางรอดทางเดียว คือ เราต้องช่วยกันคิด ทำอย่างไรให้ข้าวไทยห่างไกลจาก 'พืชเสพย์ติดทางการเมือง' ได้เร็วที่สุด
ประมวลนโยบายการจัดการผลผลิตทางการเกษตร การรับจำนำข้าว VS. การประกันรายได้เกษตรกร อ่านได้ที่ http://www.thaireform.in.th/index.php?option=com_flexicontent&view=items&id=6138:-vs-