- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- สำรวจ ส.ส. นายจ้างเพื่อไทย หนุนสุดตัวจ่ายลูกจ้าง 300 บาท/วัน
สำรวจ ส.ส. นายจ้างเพื่อไทย หนุนสุดตัวจ่ายลูกจ้าง 300 บาท/วัน
การเดินหน้านโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่จะมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รอขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้
กำลังเริ่มเจอปัญหาในการขับเคลื่อนไม่น้อย บนความไม่แน่ใจของหลายภาคส่วนโดยเฉพาะคนที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกพรรคเพื่อไทยว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้จะทำได้จริงหรือไม่
หลังกลุ่มที่ต้องทำเรื่องนี้โดยตรงคือกลุ่ม”นายจ้าง”ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ –ผู้ประกอบการ –นายทุน ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง พากันดาหน้าแสดงความเห็นคัดค้านกันอย่างอื้ออึง
โดยเฉพาะท่าทีของกลุ่มภาคเอกชน 3 สถาบันหลักที่ถือเป็นหัวขบวนของวงการธุรกิจของประเทศไทยมาหลายสิบปีในรูปของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน คือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้า หรือ(กกร).
ที่ประกาศเป็นมติชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วันทั่วประเทศ เพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ, การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามกลไกตลาด และเป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง และหากรัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วัน รัฐบาลก็ควรหาแนวทางจ่ายส่วนต่างของค่าจ้างดังกล่าว โดยระบุว่าเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยขึ้นมาบริหารประเทศ กกร.ก็จะยื่นข้อเสนอนี้ทันที
ขณะเดียวกัน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยและคีย์แมนของพรรคเพื่อไทยพากันออกมายืนกรานว่านโยบายนี้สามารถทำได้แน่นอน จะไม่มีการทบทวน แต่คงต้องเริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่ทำพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ
การเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 300 บาทค่าจ้างขั้นต่ำ ทางส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาสนับสนุนกันเต็มที่ โดยบอกตรงกันว่าเป็นสัญญาประชาคมที่หาเสียงไว้ หากไม่ทำคงมีปัญหา และส.ส.เพื่อไทยบางคนที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็บอกพร้อมจะปรับอัตราค่าจ้างให้กับลูกจ้างของตัวเองเพื่อให้สอดรับกับนโยบายนี้
“ศักดา คงเพชร” ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่มีกิจการก่อสร้างรับเหมารายใหญ่ในจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวกับ “ศูนย์ข่าวปฏิรูป”ว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันและเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเอาด้วย เพราะค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ทำให้ประชาชน ผู้ใช้แรงงานประสบปัญหาการดำเนินชีวิตต้องแบกรับภาระไว้มากมาย ยิ่งในบางพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูงอย่างกรุงเทพมหานครรายได้ขั้นต่ำก็ไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะหากผู้ใช้แรงงานมีครอบครัว มีลูก ภรรยา ต้องดูแลรับผิดชอบ การปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นจึงควรแก้ปัญหาให้อย่างมาก
“ศักดา”บอกว่า การคัดค้านที่เกิดขึ้น สิ่งที่คนลืมกันไปก็คือ การเพิ่มค่าจ้างขึ้น สิ่งที่เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการจะได้ก็คือ ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น สูงขึ้น ได้ผลผลิตที่ดีเพราะเมื่อลูกจ้างได้เงินมาก รายได้มากขึ้น ก็ต้องมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ขยันขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น เจ้าของธุรกิจก็ได้ผลผลิตมากขึ้น สินค้าต่างๆ ออกมามากขึ้น ก็ได้กำไรมากขึ้น
“กิจการรับเหมาก่อสร้างที่ภรรยาผมดูแลอยู่ ปัจจุบันก็ใช้ระบบการจ้างงานแบบตัดเหมาคือรับเป็นชิ้นงานแล้วทำให้เสร็จ เช่นรับเหมามางานหนึ่งได้หนึ่งล้านบาท เขาก็จ้างคนงานที่ชำนาญในงานต่างๆ มาทำงานไปทำเสร็จก็รับเงินไปตามการจ้าง เช่นตัดเหมาไปหนึ่งแสน ในทีมก็จะมีหลายคนที่รับงานส่วนนี้ไปทำให้แล้วเสร็จ เขาก็จะจ้างคนของเขากันเอง ซึ่งโดยเฉลี่ยก็ได้มากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว เพราะพวกนี้เป็นช่างฝีมือ เขาได้มากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว เฉลี่ยได้ 500 บาทอย่างต่ำถึง 1 พันบาทอย่างต่ำ และการจ้างทางทีมที่มารับช่วงงานต่อก็ให้มากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว ยิ่งพวกแรงงานฝีมือ เขามีฝีมือ มีทักษะ จะมาให้ 300 บาท ไม่มีใครทำหรอก ทางกิจการผมก็สนับสนุนเต็มที่และเอาด้วยกับเรื่อง 300 บาทขั้นต่ำ เราก็ขานรับแน่นอนแม้ตอนนี้จริงๆ เราก็ให้มากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว”
ศักดา กล่าวอีกว่าผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ ต้องเห็นใจลูกจ้างด้วย 300 บาทบางพื้นที่อย่างกรุงเทพมหานคร ค่าข้าวแกง ค่าก๋วยเตี๋ยว 3 มื้อ แล้วค่าเดินทาง ค่าเช่าบ้าน เงินให้ลูกเมีย ค่าจ้างขั้นต่ำ 200 กว่าบาทมันไม่พอ เขาก็ลำบาก พอเงินน้อย รายได้ไม่พอการครองชีพ สิ่งที่จะตามมาก็คือปัญหาสังคม บางคนก็ต้องไปทำงานอย่างอื่น เช่น ไปอยู่ในธุรกิจผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด ไปขับแท็กซี่กลางคืน ก็ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว บางคนก็เครียด เงินไม่พอแต่ละวัน พอเครียดก็เกิดปัญหาสังคม ลูกเมีย ก็เครียดตามไปด้วย นี้เป็นปัญหาสังคม การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ นอกจากช่วยแก้ปัญหาแรงงานให้อยู่ได้แล้วยังแก้ปัญหาสังคม แก้ปัญหาอาชญกรรมด้วย
ส่วนที่ กลุ่มผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ รวมถึงองค์กรอย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ออกมาคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มตัว เพราะจะทำให้กิจการแบกรับภาระไม่ไหว
“ศักดา” แย้งว่า การทำนโยบายนี้คงไม่ได้ทำทันทีก่อนจะทำรัฐบาลก็ต้องศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายนายจ้างในลักษณะกรรมการไตรภาคี จึงไม่ควรที่เอกชนจะมาถึงก็ตั้งป้อมค้านเลย ควรให้เวลารัฐบาลได้เข้าไปบริหารประเทศก่อน ไม่อย่างงั้นก็เกิดความสับสน ว่ายังไม่ทันได้ทำก็บอกจะไม่เอาด้วยแล้ว พวกลูกจ้างทั้งหลายก็จะเกิดความรู้สึกว่าทำไมนายทุน เจ้าของกิจการ ถึงไม่อยากเพิ่มค่าจ้างให้เขา ไม่อยากให้มีรายได้เพิ่ม ไม่ให้ความสำคัญกับลูกจ้าง ทั้งที่มันเป็นผลดีกับทั้งระบบอย่างที่ได้บอกไว้คือ ลูกจ้างพอได้เงินเพิ่ม ก็มีขวัญกำลังใจ ก็ขยันทำงานมากขึ้น งานออกมาดีขึ้น นายจ้างก็ได้งานมากขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น มีเงินเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น
ส่วนอีกหนึ่งส.ส.เพื่อไทยคือ”สถาพร มณีรัตน์”ส.ส.ลำพูน ที่เป็นอดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ก็หนุนสุดแรงให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อไปและต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยควรต้องทำให้เป็นนโยบายที่มีผลบังคับใช้ไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศด้วยเพียงแต่ระยะแรกอาจต้องค่อยเป็นค่อยไปไม่สามารถทำได้ทุกจังหวัด เรื่องนี้ประชาชนหลายจังหวัดโดยเฉพาะที่เลือกพรรคเพื่อไทยมาก็คงเข้าใจ
อดีตผู้นำสหภาพแรงงานที่วันนี้คือส.ส.4 สมัย บอกว่า ที่ลำพูน มีนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของภาคเหนือมีโรงงานจำนวนมากโดยเฉพาะโรงงานผลิตชิ้นส่วนอีเลคทรอนิคส์ ที่เจ้าของกิจการเป็นนักลงทุนต่างชาติทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน มีประมาณ 200-300 โรงงาน มีแรงงานร่วม 7 หมื่นคน ทุกคนต่างคาดหวังกับนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทอย่างมากเพราะตอนนี้ค่าจ้างขั้นต่ำของคนงานในนิคมอุตสาหกรรมลำพูนอยู่ที่ 250 บาทต่อวัน
“หากมีการปรับค่าจ้างครั้งนี้จะทำให้มีเงินเพิ่มหมุนเวียนในนิคมอุตสาหกรรมอีก 35 ล้านบาทต่อเดือน เงินส่วนนี้ก็จะเป็นเงินที่หมุนเวียนอยู่ในนิคม ในจังหวัดและในภูมิภาค สิ่งที่จะตามมาก็คือขวัญกำลังใจของคนงาน เขาก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็จะมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ทำให้นายจ้างพอใจ สิ่งที่จะตามมาก็คือ การผลิตที่มีคุณภาพ ได้ของมากขึ้น นายจ้างก็ได้กำไรมากขึ้น มันก็ส่งผลดีทั้งระบบ ได้ด้วยกันทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ภาพรวมทุกอย่างมันก็ดีขึ้น “
อย่างไรก็ตาม ส.ส.ลำพูน เพื่อไทยบอกว่า นโยบายเรื่อง 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่เป็นเรื่องที่คนจับตามองอย่างมาก ดังนั้น คนในรัฐบาลก็ต้องแจงให้ชัดว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน มีข้อจำกัดอย่างไร เพื่อไม่ให้เจ้าของกิจการเกิดแรงต่อต้าน เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าการทำมันต้องทำทุกอย่างพร้อมๆ ไปกันหมดเช่นการยกเลิกกองทุนน้ำมันหากทำแล้ว จะทำให้ดีเซลลดลงไปลิตรละ 7 บาท เบนซินลดลง 3 บาทแบบนี้ ผู้ประกอบการก็มีต้นทุนการผลิตลดลง เขาก็เอาเงินส่วนต่างนี้ไปขึ้นค่าจ้างได้
“นายจ้าง นายทุน กลุ่มทุนบางกลุ่มที่อยู่ในระดับตัวแทนชนชั้น จะมาคิดในมิติเดิมๆไม่ได้ ทำไมคุณถึงไม่ปรับตัว ต้องคืนกำไรให้ลูกจ้างด้วยให้เขาอยู่ได้ ถ้าคนงานได้เงินเพิ่มมีที่ไหนเขาจะไม่ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบทุนมันต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ที่ลำพูน ตอนนี้ประชาชนยังไม่ได้ทวงถาม เพราะเขาก็รอให้รัฐบาลใหม่เข้าไปก่อน แต่วันหนึ่งข้างหน้าถ้ามีการทำได้ นิคมอุตสาหกรรมที่ลำพูน 200 กว่าโรงงาน เขาก็รอคอยสิ่งนี้อยู่ “
ส่วน”ฐานิสร์ เทียนทอง”ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย ที่คนในตระกูลมีธุรกิจมากมายทั้งรับเหมาก่อสร้าง กิจการรับจ้างขนส่ง โดยเฉพาะในจังหวัดสระแก้วในนามกลุ่มบริษัท เอสพีที และส.เทียนทอง บอก “ศูนย์ข่าวปฏิรูป” ว่าส.ส.เพื่อไทยก็อยากให้สิ่งที่หาเสียงไว้ทุกอย่างทำได้จริง โดยเฉพาะเรื่อง 300 บาท สิ่งนี้เป็นนโยบายที่คนส่วนใหญ่เอาด้วยโดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อย พวกแรงงานไร้ฝีมือ คนงานโรงงาน เมื่อพูดหาเสียงไว้แล้ว รัฐบาลก็ต้องทำให้ได้
“ในฐานะที่ครอบครัวก็มีกิจการ แม้ตอนนี้งานช่วงหลังๆ จะเข้ามาน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเป็นนโยบาย หากออกมาแล้วมีผลทั่วประเทศ เราก็ต้องขึ้นให้กับคนที่ยังได้ไม่ถึง 300 บาท แต่กระบวนการก็ต้องบอกกับประชาชนว่าให้อดใจรอ มันต้องใช้กระบวนการทำเป็นขั้นตอนทำเป็นระบบ ทั้งลดภาษีนิติบุคคล ลดเงินน้ำมัน เพื่อให้มีเงินเอาไปขึ้นค่าแรงได้ “
ขณะที่นักวิชาการอย่าง”รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์”จากภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็หนุนเต็มที่ให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลชุดใหม่ต้องเดินหน้าทำให้ได้ โดยมองว่าไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะได้ยากอะไร ทำได้แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงให้รัฐบาลออกมาตรการ สร้างเงื่อนไขต่างๆ ให้พร้อมคือทำให้ภาคธุรกิจขานรับด้วย ตอนแรกอาจมีแรงต้านบ้างแต่อาจเป็นเพราะรัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปบริหารประเทศ ยังไม่มีกรอบที่เป็นรูปธรรมว่าจะทำอย่างไร
“อย่างการลดภาษีนิติบุคคล 7 เปอร์เซนต์ มันก็ทำให้บริษัทลดภาระได้มากแล้ว เขาก็ไม่ต้องเอาเงินส่งให้รัฐ ตรงนี้ก็เอาเงินไปขึ้นค่าจ้างได้ มันก็ไปชดเชยได้ และยังเป็นการทำให้บริษัทต่างๆ ที่เลี่ยงภาษี ที่มีอยู่จำนวนมาก เข้าสู่ระบบ แต่ถ้าไม่ทำอะไรปูทางเอาไว้ก่อน แล้วจู่ๆ ไปขึ้นเลย 300 บาท มันก็ยุ่งแน่นอน แต่ท่าทีของเพื่อไทยเขาก็บอกไว้ชัดว่าค่อยๆ ทำเป็นระบบ ทำแพคเกจหลายอย่าง คือควรให้มันทำออกมาก่อนเรื่อง 300 บาทแล้วรัฐบาลก็คอยดูห่างๆ ดูว่ากิจการต่างๆ เขาได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ให้มันเคลื่อนไปด้วยกลไกทางธุรกิจ หากมีปัญหาค่อยเข้าไปประคอง”
นักวิชาการจากคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ยังหนุนเรื่องนี้ต่อไปว่า เรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ปกติกรรมการไตรภาคีที่มีตัวแทนจากนายจ้าง ลูกจ้างที่เป็นสหภาพต่างๆ และฝ่ายรัฐบาล ก็มีการประชุมและขึ้นกันเป็นประจำทุกปี โดยดูจากปัจจัยต่างๆ เช่นภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เพียงแต่การขึ้นอาจขึ้นทีละไม่มาก แต่หากขึ้นเลย 300 บาท คนอาจตกใจ ทั้งที่อย่างในยุโรปเช่น เยอรมัน ฝรั่งเศล เขาขึ้นทีครั้งละ 20 เปอร์เซนต์ และทุกครั้งแม้จะมีปัญหาบ้างเช่น ก่อนขึ้นอาจมีการผละงานประท้วงเพราะนายจ้างไม่ยอม แต่ก็จบลงด้วยการเจรจากันได้ สำหรับประเทศไทย กรรมการทางรัฐจะอยู่ตรงกลาง คือถามว่า ขึ้นเท่านี้ นายจ้างอยู่ได้ไหม พอใจไหม แล้วลูกจ้างมีความจำเป็นอย่างไรในการขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น จริงไหม ของเราไม่ได้รุนแรงอะไร
“ที่ยุโรปเขาขึ้นกันทุกปี ถ้าเราจะขึ้น 300 บาทต่อวัน ผมว่าไม่น่าตกใจอะไร พวกเอกชนที่ออกมาโวยวาย ผมว่าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อน ดูพรรคเพื่อไทยเขาก่อน ว่าจะทำอย่างไร มันก็เป็นเรื่องปกติที่กลุ่มเอกชนที่ก็คือตัวแทนนายจ้างเขาก็ไม่อยากเอาด้วย ไม่อยากหนุน เพราะไม่มีนายจ้างที่ไหนอยากเสียเงินเพิ่ม มันเป็นธรรมชาติของระบบทุน เขาก็ต้องคัดค้าน แต่ผมว่าอาจเป็นแค่ส่วนน้อยเพราะอาจมีนายจ้างบางส่วนก็อาจหนุนเพราะดูแล้ว ถ้ารัฐบาลออกแพคเกจต่างๆ เช่นลดภาษี ทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ เขาก็เอาเงินมาเพิ่มให้คนงาน คนงานมีกำลังใจ ทำงานได้มากขึ้น งานเสร็จเร็วขึ้น”
นี่คือทัศนะ ของส.ส.เพื่อไทยและนักวิชาการ ที่ยืนคนละฝั่งกับพวกตัวแทนภาคธุรกิจ บนทัศนะที่สรุปได้ว่า ทั้งหมดเชื่อว่าการขึ้นค่าจ้าง 300 บาท คงไม่ส่งผลกระทบโดยรวมมากนักเพราะรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาช่วยเจ้าของธุรกิจอยู่แล้วโดยเฉพาะมาตรการเรื่องภาษีและราคาน้ำมัน เพื่อให้มีเงินไปขึ้นค่าจ้างให้คนงานได้
ก็ต้องดูกันไปว่า รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินหน้าสัญญาประชาคมเรื่องนี้ได้จริงหรือไม่
หลังกลุ่มนายจ้างค้านเต็มที่ ส่วนฝั่งลูกจ้างก็ต้องการเห็นผลในทางปฏิบัติภายในช่วง 6 เดือนหลังรัฐบาลเข้าบริหารประเทศ