- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- สิทธิการตาย สิทธิของ “คนไข้” หรือ “แพทย์”
สิทธิการตาย สิทธิของ “คนไข้” หรือ “แพทย์”
หลังจากกฎกระทรวง เรื่อง “การกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ.2553” ซึ่งออกตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้คือ มีแพทย์จำนวนหนึ่งที่ “ตื่นตัว” กับกฎกระทรวงฉบับบนี้ แต่เป็นการตื่นตัวในลักษณะที่ “คัดค้าน” และพยายามเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน และขู่ว่าจะฟ้องร้องศาลปกครองให้ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับนี้เพราะหวั่นเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อการปฎิบัติหน้าที่ของแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
มาตรา 12 ตีความต่างกัน
ความจริงกฎหมายฉบับนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งมีหลักการชัดเจน แต่แพทย์ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจ ทั้งๆที่มีผลโดยตรงต่อวิชาชีพ กระทั่งเมื่อกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ แพทย์ส่วนหนึ่งกลับออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน โดยอ้างว่าไม่ได้รับทราบรายละเอียดจากแพทยสภาบ้าง บางรายโจมตีไปถึงกฎหมายโดยระบุว่ากฎหมายฉบับนี้ร่างโดยนักกฎหมายและแพทย์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่รักษาคนไข้บ้าง ดังนั้นจึงต้องมาดูกันว่ามาตรา 12 มีรายละเอียดของเนื้อหาอย่างไร
มาตรา 12 ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรค 1 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฎิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรค 1 แล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”
ในด้านของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้เหตุผลที่ออกกฎกระทรวงฉบับนี้ว่า เป็นเพียงการกำหนดแนวทางปฎิบัติ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเท่านั้น
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการ สช. อธิบายว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายบังคับใช้ แต่เป็นเพียงแนวทางการดำเนินการตามมาตรา 12 ที่ระบุให้ทุกคนทราบถึงการดำรงของสิทธิที่มีอยู่เท่านั้น ดังนั้นการออกกฎกระทรวงจึงเป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะไม่ทำการรักษาคนไข้ที่แสดงสิทธิ แพทย์ยังคงรักษาด้วยมาตรฐานวิชาชีพต่อไป เช่น กรณีป่วยระยะสุดท้ายก็จะรักษาแบบประคับประคอง คือ การให้ยาเพื่อลดความเจ็บปวดหรือทนทรมาน
“จริงๆ กฎกระทรวงนี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น แต่ต้องทำควบคู่กับการพูดคุยกับญาติพี่น้องของคนไข้ด้วย ไม่ใช่ยึดแต่หนังสืออย่างเดียว ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าแพทย์จะถูกฟ้องร้อง เพราะอย่างไรเสียสุดท้ายแพทย์ก็ต้องพูดคุยกับญาติก่อน” นพ.อำพล กล่าว
ส่วน ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ ในฐานะผู้ร่างกฎกระทรวงฯ กล่าวว่า ในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา หรือประเทศแถบยุโรปมีการใช้สิทธินี้มานานร่วม 30 ปี ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาการโต้เถียงต่างๆ แต่ประเทศไทยกลับมีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการตีความกฎหมาย ทั้งๆที่ ข้อเท็จจริง กฎกระทรวงนี้จะช่วยให้แพทย์ทำงานได้
แต่ในด้านของแพทย์กลุ่มหนึ่งที่คัดค้านกฎกระทรวงฉบับนี้กลับมองว่า แพทย์จะได้รับผลกระทบจากกฎกระทรวงนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา บอกว่า ผู้ที่ร่างกฎหมายนี้ ไม่ใช่แพทย์ที่รักษาคนไข้ แต่ไปร่วมกับนักกฎหมายร่างเนื้อหาขึ้น โดยคิดเอาเองว่าคนไข้ในวาระสุดท้ายมีความทุกข์ ทรมาน และมีความประสงค์จะตาย จึงถือได้ว่าเป็นการออกกฎหมายโดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ถูกต้อง หากแพทย์ปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตาม แพทย์ก็ถือว่าอยู่ในสภาวะเสี่ยงทั้งสิ้น และเรื่องนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่าจะเป็นการการุณยฆาต
“กรณีนี้ ไม่แตกต่างจากการุณยฆาต ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท มาตรา 291 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20, 000บาท และมาตรา 374 ความผิดที่ไม่ช่วยผู้ที่ตกอยู่ในภยันตราย(ลหุโทษ) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นพ.วิสุทธิ์ กล่าว
ส่วน นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า กฎกระทรวงดังกล่าวมีการกำหนดวิธีการที่ไม่ชัดเจนสำหรับการปฏิบัติจริง และอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ โดยเฉพาะการกำหนดว่าให้แพทย์ทำหน้าที่ถอดสายท่อ หรือที่เรียกว่า Un Plug ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่แสดงความไม่ประสงค์รับการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีแพทย์คนใดอยากทำ ซึ่งไม่ใช่กลัวถูกฟ้องร้อง แต่เป็นเรื่องของมนุษยธรรม
“แพทย์ไม่ได้ขัดขวางสิทธิดังกล่าว เนื่องจากเป็นเจตนารมย์ตามสิทธิของมาตรา 12 แต่ไม่เห็นด้วยในวิธีการปฏิบัติ ซึ่งขัดกับความเป็นจริง และในมาตรา 12 ก็ไม่ได้กำหนดไว้ ขณะเดียวกันการกระทำลักษณะนี้กลับเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525ที่กำหนดชัดเจนให้แพทย์ต้องทำการรักษาให้ดีที่สุด แต่การUn Plug เป็นการผลักภาระให้แพทย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นการออกแบบการตาย ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ว่าจะตายอย่างไร” นพ.เมธี กล่าวและว่า ดังนั้นเรื่องนี้จึงควรชะลอไปก่อน เพื่อหารือร่วมกันว่าจะปรับปรุงอย่างไรให้สามารถปฏิบัติได้จริง
ขณะที่พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 แสดงความคิดเห็นว่า แพทยสภาเห็นด้วยในหลักการของการมีกฎกระทรวงฉบับนี้ แต่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น รายละเอียดของกฎกระทรวงบางประเด็น อาจทำให้คนไข้เกิดการเสียชีวิตโดยไม่สมควร เช่น การยุติการรักษาในกรณีที่คนไข้ได้รับความทรมานทางกายหรือใจ โดยที่คนไข้ยังมิได้อยู่ในวาระสุดท้ายของโรคจริง แนวทางการปฏิบัติของกฎกระทรวงนี้บางประเด็น อาจเป็นการออกคำสั่งที่เกินกว่าอำนาจที่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ ให้ไว้ เช่น การบัญญัติให้ผู้ประกอบวิชาชีพถอดถอน(Withdraw) การรักษาคนไข้ ซึ่งอาจขัดกับความเชื่อทางศาสนาของผู้ปฏิบัติงาน และอาจขัดต่อศีลธรรมหรือมโนธรรมของผู้ปฎิบัติงาน
นักกฎหมายยันไม่กระทบแพทย์
เมื่อมีปัญหาที่การตีความ ลองมาดูการตีความในด้านของนักกฎหมายกันบ้างเกี่ยวกับปัญหานี้ นายสมผล ตระกูลรุ่ง นักวิชาการกฎหมายอิสระ บอกว่า แพทย์ที่คัดค้านกฎกระทรวงนี้ห่วงแต่ประโยชน์ส่วนตัว กลัวว่าจะต้องเป็นผู้วินิจฉัย และกลัวว่าจะถูกฟ้องซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างที่แพทย์กลุ่มนี้กล่าวอ้าง
“แพทย์บางคนเห็นว่า การทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่รับการรักษา ไม่ต่างจากการการุณยฆาต (Mercy Killing) จึงยกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรค 4 ที่ระบุว่า การกระทำให้ความหมายรวมถึงการให้เกิดผลอันเป็นอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย ดังนั้นการทำตามหนังสือแสดงเจตจำนงไม่รับการรักษา จึงไม่ใช่การงดเว้นกระทำการ จึงไม่เป็นความผิด ทั้งนี้เนื่องจาก แพทย์ไม่มีหน้าที่ต้องรักษาคนไข้ทุกคน เพราะคนไข้มีสิทธิในชีวิตและร่างกายของตนเอง หากเขาไม่ยินยอมให้แพทย์รักษา แพทย์จะเอายาไปฉีดให้เขาก็ไม่ได้ การที่คนไข้แสดงเจตจำนงไม่รับการรักษา แพทย์จึงไม่มีการที่จักต้องกระทำ จึงไม่มีเจตนางดเว้นการปฎิบัติ แต่สิ่งที่แพทย์ควรต้องสำนึก และนำมาถกเถียงคือ ประเด็น งดเว้นการที่จะต้องกระทำ ในกรณีที่คนไข้ไม่มีเงินไปขอให้รักษา แต่แพทย์ไม่รักษาให้ เพราะเป็นแพทย์ธุรกิจ หรือเป็นพาณิชยแพทย์ แล้วปล่อยให้คนไข้นอนตายไปต่อหน้าต่อตา เพียงเพราะไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล กรณีเช่นนี้แพทย์น่าจะหยิบยกขึ้นมาถกเถียงให้สังคมเห็นว่า แพทย์ควรจะทำอย่างไร ควรยึดมั่นใจจรรยาบรรณ หรือยึดมั่นในธุรกิจ” นายสมผล กล่าวและว่า การไม่รักษาตามเจตนาของผู้ป่วย แตกต่างจากการุณยฆาต เพราะ การุณยฆาตคือ การฆ่าคนตาย ไม่ว่าจะเป็นการปลดสายออกซิเจน หรือการให้ยาเพื่อให้ตายอย่างสงบ แต่การปฎิเสธการรักษาไม่มีทางที่จะเป็นการุณยฆาตได้ เพราะคนไข้ไม่ให้ปั๊มหัวใจ ไม่ให้เจาะคอ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ที่ให้เหตุผลเช่นนี้เนื่องจากการเจาะคอให้หายใจได้ดี หรือการปั๊มหัวใจ ล้วนเป็นการอันฝืนธรรมชาติ ฝืนความปกติของมนุษย์
นอกจากนี้ นายสมผลยังบอกว่า แพทย์บางคนอ้างว่า การที่ให้แพทย์เป็นผู้ชี้ว่า ผู้ป่วยอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นการโยนภาระให้แพทย์ผู้เดียวเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจ จึงเกรงว่าจะถูกฟ้องหากญาติไม่เห็นด้วยนั้น ข้ออ้างดังกล่าว เป็นการหาเหตุผลมาอ้างให้ดูดีเท่านั้น ทุกวันนี้ใครเป็นผู้วินิจฉัยเรื่องการรักษา ใครให้ความเห็นว่าการรักษาควรจะเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้บอกกับคนไข้และญาติ (ที่ไม่มีเงิน) ว่าให้ทำใจแล้วพาคนไข้กลับบ้าน ถ้าไม่ใช่แพทย์ สภาวะที่คนไข้อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ญาติๆ ทำใจได้ เพราะไม่อยากทรมานคนไข้ และคนไข้ที่นอนรอวันตายก็ไม่อยากมีชีวิตเหมือนตุ๊กตาที่ญาติๆ มักโผล่หน้าไปเยี่ยมตอนเช้า-เย็น แล้วก็กลับ ในส่วนที่แพทย์กลัวจะได้หนังสือปลอมนั้น หากหนังสือปลอมจริงแพทย์ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้เจตนา แต่คนผิดคือญาติที่ทำหนังสือปลอม ซึ่งต้องพิสูจน์กันในกระบวนการศาล ดังนั้นแพทย์ที่ออกมาคัดค้าน ถามว่าท่านค้านด้วยจรรยาบรรณของแพทย์ หรือค้านเพราะกลัวถูกฟ้อง หรือค้านเพราะขัดกับนโยบายพาณิชย์แพทย์กันแน่
ส่วน ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า กฎกระทรวงนี้ไม่เป็นผลกระทบต่อแพทย์ เพราะไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย แต่เป็นเพียงการใช้เจตนารมณ์ส่วนหนึ่งที่เขียนให้เห็นเป็นตัวอักษร และสช.ก็ดำเนินการตามสิทธิที่พึงมี แต่สิทธิในการเลือกใช้เจตนาดังกล่าว ยังเป็นสิทธิของคนไข้หากแพทย์มีความคลางแคลงใจว่าเป็นหนังสือปลอมหรือไม่ ก็อาจตรวจสอบโดยการสอบถามกับญาติก่อนปฏิบัติตามก็เท่านั้น
ทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลาพิจารณาอีกระยะหนึ่ง แต่ในส่วนของ สช.ในฐานะหน่วยงานที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ แว่วมาว่าในวันที่ 2 สิงหาคมนี้ จะมีการชี้แจงเจตนารมณ์ และความสำคัญของกฎกระทรวงฉบับนี้ต่อบุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศ ผ่านการถ่ายทอดสดรายการ Health Station และเว็บไซต์ http://www.nationalhealth.or.th เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันอีกครั้งหนึ่ง