- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- 'แจกันดอกไม้หลากสี ความต่างชายแดนใต้' สวยและเป็นสุขได้ในมุมการศึกษา
'แจกันดอกไม้หลากสี ความต่างชายแดนใต้' สวยและเป็นสุขได้ในมุมการศึกษา
เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่นโยบายแก้ปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกบรรจุไว้เป็น 1 ใน 16 นโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะดำเนินการในปีแรก “เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ควบคู่ไปกับการขจัดความยากจน ยาเสพติดและอิทธิพลมืด”
แต่ในส่วนการแก้ปัญหาการศึกษาของจังหวัดชายแดนใต้ ที่เป็นปมหนึ่งซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง ยังมองไม่เห็นรายละเอียดนโยบายที่ชัดเจน เพราะรัฐบาลระบุไว้เพียงว่า “เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและคุณภาพชีวิต”
หากจะกล่าวถึง การจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่ผ่านมา กับเสียงสะท้อนของคนในพื้นที่ย้ำชัดว่า
ไม่ทั่วถึงและไม่สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิต
มีหลักสูตรการศึกษาแบบรวมศูนย์ทำให้ขาดเอกภาพในการบริหารจัดการศึกษา
ขาดแคลนครู และครูก็ขาดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน
ปัญหาเหล่านี้ทำให้คุณภาพการศึกษาของเด็กในจังหวัดชายแดตนใต้ตกต่ำลง มีเด็กตกหล่น และหายไปจากระบบการศึกษา...
“โรงเรียนตะเข็บชายแดนและพื้นที่เสี่ยง มักถูกทอดทิ้ง งบประมาณไม่เคยถึงมือ กระจุกตัวอยู่แต่โรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีประจำตำบล การดูแลของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาเป็นไปตามกระแสการเมือง ทั้งที่การศึกษาต้องมีความเท่าเทียม ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษามาโดยตลอด”
“ศรัทธา ห้องทอง” ผอ.โรงเรียนบ้านคลองน้ำใส อ.กาบัง จ.ยะลา สังกัดเขตพื้นที่การศึกษายะลาเขต 2 เปิดประเด็นสนทนาด้วยมุมมองชัดๆ
ด้วยเพราะโรงเรียนบ้านคลองน้ำใสตั้งอยู่บนไหล่เขา ที่ต้องประสบทั้งปัญหาภัยพิบัติจากการพังทลายของดิน เสี่ยงภัยกับการก่อการร้าย ครู ทหาร ถูกซุ่มยิง พ่อพิมพ์วัย 51 ปี เล่าประสบการณ์กว่า 30 ปีของการเป็น “ครู” ใน “พื้นที่สีแดง” ให้พอมองเห็นภาพหลังม่านของปัญหาชายแดนใต้ที่สังคมคุ้นเคย ให้ฟังว่า เมื่อปี 2550 โรงเรียนแห่งนี้ก็เคยถูกลอบวางเพลิงจากผู้ก่อการร้าย และเป็นโรงเรียนหนึ่งที่ตกหล่นจากสารบบการดูแลของภาครัฐ แต่เขา และครูอีกหลายชีวิต ยังคงเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อด้วยความเต็มใจ เพื่อปลายทางแห่งความสันติสุขของชาวกาบัง...
เมื่อถาม อะไรคือแรงบันดาลใจ ครูผู้มีแรงใจอันแข็งแกร่ง ท้าวความกลับไปในสมัยประถม ที่เขามีโอกาสได้รับทุนนวฤกษ์ จากสมเด็จพระราชินีฯ กระทั่งจบ มศ.3 และได้ถวายฎีกาขอทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จนมีโอกาสเรียนจบที่วิทยาลัยครู จ.ยะลา
“ผมคิดว่า “ครู” เป็นวิชาชีพที่สามารถสานต่อโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ได้ ดังนั้น แม้จะต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย แต่ก็พร้อมจะทำงานสนองพระยุคลบาท และมุ่งหวังว่าจะสามารถสร้างให้ชุมชนและเยาวชนเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต"
เพราะพ่อพิมพ์ของชาติท่านนี้ เชื่อเหลือเกินว่า การศึกษาเท่านั้น ที่จะแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างแท้จริง
“ความแตกต่าง” เหมือนดอกไม้ มองให้สวยงามและเป็นสุขได้
“โรงเรียนบ้านคลองน้ำใส” เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปัจจุบันมีนักเรียน 473 คน ครู 21 คน แต่เนื่องจากไม่มีอำนาจเต็มในการการบริหารจัดการบุคลากร เมื่อมีการโยกย้ายครู โรงเรียนจึงตกอยู่ในสภาพขาดแคลนบุคลากรและอาคารสถานที่อยู่เป็นประจำ
ผอ.ศรัทธา มองถึงความขาดแคลน แม้จะมีอย่างครบวงจร แต่เขาก็โชคดีที่บุคลากรในโรงเรียนมีความพร้อมและตั้งใจทำงาน อีกทั้งชุมชนก็ให้ความร่วมมือในการพัฒนาโรงเรียนเป็นอย่างดี
“เราสานสัมพันธ์กันด้วยการสื่อสารพูดคุย และใช้ความจริงใจจะพัฒนาชุมชนเป็นที่ตั้ง เมื่อใจซื้อใจ คราใดเกิดปัญหาทั้งน้ำท่วมใหญ่ หรือคราใดที่โรงเรียนถูกลอบเผา คนในพื้นที่ก็เข้ามาเป็นกำลังหลักในการดับไฟและสร้างอาคารเรียนให้”
ซึ่งกว่าจะสร้างความเข้าใจระหว่างโรงเรียนกับชุมชนได้สำเร็จนั้น พ่อพิมพ์วัย 51 ปี บอกว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับ ที่ผ่านมาเราเคยมีปัญหาจากประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ มีการรุกรานและถือกฎแห่งกำลังยึดครองอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแผ่ขยายอาณาเขต เราจึงต้องใช้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นมา "เตือนใจ"
และหากโยงไปถึงปัญหาความแตกต่างด้านภาษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่หลายคนจะมองงว่า เป็นปมของปัญหาความขัดแย้งทั้งหมด แต่เขากลับมองว่า ไม่ใช่ปัญหา
แต่นี่คือ ความสวยงาม ท้าทายและน่าภาคภูมิใจในการจะทำให้ความแตกต่างนั้นอยู่ร่วมกันได้
“ปัญหาคือเหตุการณ์ความไม่สงบที่เราไม่อาจแก้ไขได้ ในความแตกต่างเปรียบเหมือนดอกไม้หลากสีที่อยู่ในแจกันเดียวกัน ดังเช่นในโรงเรียนเราที่เป็นเด็กมุสลิม 100% แต่ครูมีทั้งพุทธ มุสลิม ต่างกันแค่ความเชื่อและศาสนา แต่การทำงานและจิตใจเราก็ไปด้วยกันได้ สามารถมองให้สวยงามและทำงานอย่างมีความสุขได้"
สร้างนวัตกรรมการศึกษา ล้อหลักสูตรกระทรวงฯ
เมื่อการสานสัมพันธ์กับชุมชนเป็นไปได้ค่อนข้างดีแล้ว โจทย์ต่อมาจึงอยู่ที่ “การเรียนการสอน” ว่าจะผสานความต่างที่สวยงามดังกล่าวนั้นได้อย่างไร
ผอ.ศรัทธา อธิบายให้ฟังว่า โรงเรียนจัดการเรียนแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรสามัญ และหลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเคร่ง เพราะเข้าใจและให้ความสำคัญว่า อิสลามคือวิถีชีวิตของคนที่นี่ จะแยกทางโลกทางธรรมเหมือนที่อื่นไม่ได้
ดังนั้น จึงสร้างการเรียนรู้แบบ “นวัตกรรมการศึกษา” จัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนแบ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ 6 ส่วน ได้แก่ ส่วนส่งเสริมสุขภาพ ส่วนคุณธรรมจริยธรรม ส่วนการงานอาชีพ ส่วนสิ่งแวดล้อมศึกษาแก้ปัญหาโลกร้อน ส่วนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและทักษะชีวิต และส่วนเทคโนโลยีการเรียนรู้
โดยใช้รูปแบบของ “รีสอร์ท” เข้ามาบริหารจัดการการศึกษา จัดบรรยากาศให้ "สะอาด ร่มรื่น สดชื่น สวยงาม ทันสมัย ปลอดภัย น่าดู น่าอยู่ น่าเรียน" เช่น มีน้ำตก สวนหย่อม ห้องประชุม ล้อไปกับการแทรกความรู้ตามหลักสูตรการศึกษา หรือตามที่เด็กสนใจและสอดคล้องกับความเป็นชุมชน ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์การเรียนการสอนที่มีคุณภาพ สร้างคนให้เป็นผู้นำ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ภายหลังที่จัดการศึกษาเช่นนี้แล้ว เขาพบว่า พฤติกรรมของเด็กดีขึ้น ไม่มีความแตกต่างหรือแบ่งแยก เหมือนเป็นเด็กไทยปกติ อีกทั้งการประเมินผลของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาก็อยู่ในระดับดีมาก
“ผมเชื่อว่าการศึกษาจะทำให้ทุกคนเรียนรู้ เข้าใจการดำรงอยู่และความเป็นไปของโลก และเมื่อทุกคนมีศักยภาพในการดำรงชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดี ก็คงไม่อยากทำอะไรที่แตกต่าง รุนแรง การกดขี่ข่มเหงคงจะหมดไป ทุกอย่างจะเท่าเทียมกันและไปด้วยกันได้”
ต้องให้ขวัญกำลังใจ ซื้อใจ ครูใต้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการจัดการศึกษาไว้ดีเพียงใดแล้ว แต่ด้วยสภาพการ “ขาดแคลนครู” ก็เป็นสิ่งที่ ผอ.บ้านคลองน้ำใส ยังหนักใจอยู่
เพราะเมื่อพูดถึง “พื้นที่สีแดง” ก็จะมาพร้อมความหดหู่ใจ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ และต่อเนื่องมายาวนานโดยเฉพาะ 7-8 ปีที่ผ่านมา
“ทุกคนในจังหวัดชายแดนใต้ล้วนกลัวกับเหตุการณ์ความรุนแรง ผมเองก็กลัว แต่เราต้องก้าวข้ามความกลัวนั้น เพราะชีวิตเราต้องคงอยู่และดำเนินต่อไป แต่ทุกคนก็ต้องไม่ประมาท ในที่อโคจรก็ไม่โคจร เวลาที่ไม่ควรสัญจรก็ไม่สัญจร ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องยอมรับและทำใจว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ครูศรัทธา สะท้อนความรู้สึกให้ฟัง
แนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนครู เขาจึงเห็นว่า “ขวัญกำลังใจ” เป็นสิ่งสำคัญควรมีการประเมินเชิงประจักษ์ เล็งเห็นความสำคัญของครูในพื้นที่ ให้ได้กินดีอยู่ดีตามสภาพชีวิตที่ต้องมาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เครียด เหนื่อย ล้า ไม่ใช่แค่ให้เงินภายหลังจากเสียชีวิตแล้ว
ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่รัฐบาลทุ่มงบไปเป็นแสนล้าน แต่กับขวัญกำลังใจของครูที่จะสร้างคุณภาพการศึกษากลับไม่เคยคิดจะทำ
“ในช่วงที่นโยบายต่างๆ ยังทยอยเพิ่มความกระจ่าง ผมคิดว่า สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลควรจะให้ความสำคัญ คือ สร้างขวัญกำลังใจ ให้ครูในพื้นที่เสี่ยง เช่น อยู่ครบ 5 ปีได้เลื่อนขั้นเป็นครูชำนาญการ ครบ 10 ปีเป็นครูชำนาญการพิเศษ ครบ 20 ปีเป็นครูผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสนับสนุนการหาแหล่งองค์ความรู้ต่างๆ เพราะพื้นที่พิเศษ มีความลำบากและเสี่ยงอันตรายในการเดินทาง”
ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่าเป็นมุมมองและความเห็นที่กลั่นมาจากประสบการณ์ 31 ปีของการทำงาน ผอ.ศรัทธา บอกว่า ที่ผ่านมาเป็นช่วง “สร้างบ้านแปลงเมือง” ต้องวิ่งร้อยเมตรมาตลอด และคิดว่าต้องวิ่งต่อไป ต่อจากนี้จะ “ปั้นดินให้เป็นดาว” สร้างเด็กในพื้นที่สีแดง ที่ใครๆ ก็ว่า เป็นพื้นที่เสี่ยงอันตรายให้มีความรู้ทั้งการเรียน ความเป็นอยู่และความรู้ด้านศาสนาที่ถูกต้องตามหลักคำสอน อีกทั้งพร้อมที่จะต่อยอดการเรียนรู้ในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป
เพราะเขาเชื่อมั่นว่า การอบรมบ่มเพาะทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่กำลังเติบโตจะสามารถประสานให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว และสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นและแผ่วงกว้างไปถึงชุมชนและสังคม ค่อยๆ ลดปัญหาความรุนแรง และขจัดคำว่า พื้นที่สีแดงออกจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้...