- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ทำโดยคนท้องถิ่น เพื่อคนท้องถิ่น”
“พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ทำโดยคนท้องถิ่น เพื่อคนท้องถิ่น”
ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ที่มีแต่ความเปลี่ยนแปลง การจะสร้างความเข้มแข็งของสังคม อาจต้องเริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ หรือการกลับไปหาท้องถิ่น เรียนรู้และทำความรู้จักตนเอง จากนั้นค่อยขยับไปเรียนรู้ภายนอก ให้กลายเป็นสร้างสำนึกร่วมชุมชน
พื้นที่หนึ่ง ซึ่งทำให้เราสามารถความเข้าใจรากเหง้า และวิถีชีวิตได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น" จัดได้ว่า เป็นคลังความรู้ชั้นยอด ให้คนในท้องถิ่นเองได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รู้จักตนเอง คิดหวงแหน และปกป้องบ้านเกิด
โดยช่วงที่ผ่านมา มูลนิธิเล็ก ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้บุกเบิก ออกแรงสนับสนุนการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ขึ้นมา มี ศ.ดร.ศรีศักร วัลลิโภดม อดีตคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก
ในมุมมองของอาจารย์ศรีศักดิ์ บอกว่า การจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นการ "ปฏิรูป" อย่างหนึ่ง ในการศึกษาสังคมวัฒนธรรม ที่แตกต่างไปจากการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นให้ศึกษากระแสโลก จนลืมที่ใส่ใจสังคมวัฒนธรรม
ก่อนจะย้ำถึงแนวคิด ให้เห็นเป็นรูปธรรม
“พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น" ต้องไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่ตายนิ่ง แต่ต้องเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต มีความเคลื่อนไหวตลอด ไม่ใช่เพียงการแสดงวัตถุสิ่งของ แต่ต้องมีเรื่องราวชีวิตของคนในชุมชน ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยหัวใจสำคัญ ก็คือ ประวัติศาสตร์ของคน ชีวิต และวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ร่วมกัน
ดังนั้น การจะทำให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิต และสามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวได้ คนในท้องถิ่นเอง จึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้อธิบาย
"ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องสร้างด้วยคนใน และถ่ายทอด ปลูกฝังสำนึกให้เด็ก เพราะการที่เด็ก มีความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น จนสามารถถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้นั้น ถือเป็นกระบวนการการเรียนรู้แบบรวมกลุ่ม อย่างหนึ่ง"
ซึ่งหากมองในมิติที่เรียกว่า ชีวิตทางวัฒนธรรม อาจารย์ศรีศักดิ์ บอกว่า คนข้างนอกก็จะเห็นได้แค่ศิลปวัตถุ ประเพณี ลวดลาย แต่ไม่เห็นความสัมพันธ์กับคน ไม่เห็นความเคลื่อนไหว ชีวิตวัฒนธรรมสามารถไปถามจากปู่ ย่า ตา ยายได้ เด็กๆ ก็เริ่มเรียนรู้เรื่องราวของตัวเอง เรียนรู้การดำเนินชีวิต ซึ่งไม่มีใครถ่ายทอดได้ดีไปกว่าปู่ย่าตายายในท้องถิ่นอีกแล้ว
สิ่งที่ตามมา คือ ความสัมพันธ์อันแนบแน่นของคนในชุมน ผู้เฒ่าผู้แก่ มีความสุขที่ได้เล่าเรื่องราววิถีชีวิตในอดีต ให้ลูกหลานฟัง ขณะเดียวกันการนำความรู้ที่ได้ มาแลกเปลี่ยนกันก็จะเกิดการซึมซับในสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่น เกิดเป็นความหวงแหน และมีสำนึกร่วมในการรักบ้านเกิด ในทีสุด
พิพิธภัณฑ์โดยคนท้องถิ่น เพื่อคนท้องถิ่น
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี นับเป็นจุดแรกที่ทางมูลนิธิฯ เข้าไปสนับสนุน เข้าไปจัดการให้มีชีวิตชีวา โดยทำร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ เป็นอธิการบดี
จัดว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งแรกที่เน้นวัตถุทางชาติพันธุ์ที่คนท้องถิ่นสามารถอธิบายได้
หลังมีต้นแบบความสำเร็จเกิดขึ้น ก็ขยายไปยังท้องถิ่นอื่นๆ ทั้งพิพิธภัณฑ์หนองขาว (อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี) พิพิธภัณฑ์ยี่สาร (อ.อัมพวา จ.สมุทรสาคร)
แต่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเห็นจะเป็น พิพิธภัณฑ์ที่เริ่มจากพระในวัด
"พิพิธภัณฑ์จันเสน" อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
"ชุมชนจันเสน" เป็นชุนชนเล็กๆ ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากมาย กอรปกับบารมีของหลวงพ่อโอด หรือพระครูนิสัยจริยคุณ เจ้าอาวาสที่เป็นที่นับถือของในชุมชน ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีไว้ภายในวัด เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบภายในเมืองโบราณจันเสน
จนต่อมาทางมูลนิธิฯ ได้เข้าไปช่วยสนับสนุน ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จ เกิดเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่เป็นตัวกระตุ้นให้คนในท้องถิ่นเป็นผู้ที่ทำเอง มีจุดแข็ง อยู่ที่ “ยุวมัคคุเทศก์” แรงสำคัญในการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสู่รุ่นต่อๆไป
'14 ปี กับ ยุวมัคคุเทศก์ 14 รุ่น' ที่มูลนิธิฯ และพิพิธภัณฑ์จันเสน ช่วยอบรมความรู้ทางโบราณคดี ตลอดจนการหล่อหลอมให้เด็กๆ ซึมซับ สังคมวัฒนธรรม เรื่องราวใกล้ตัว ทำให้รู้จักตัวเอง ครอบครัว และชุมชน ความเป็นมนุษย์
ยุวมัคคุเทศก์ ... ความภาคภูมิในท้องถิ่น
“การได้มาคลุกคลีอยู่กับวัด กับพิพิธภัณฑ์ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน ก็ได้ซึมซับและความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง จนอยากที่จะต่อยอด และเผยแพร่ความรู้ต่อไป” มณีรัตน์ แก้วศรี อดีตยุวมัคคุเทศก์ รุ่น 4 บอกเล่าเรื่องราว
ณ วันนี้ เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี ในรั้วมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ ด้วยทุนสนับสนุนจากองค์กรส่วนท้องถิ่น และเธอหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียนมาช่วยต่อยอดและพัฒนาชุมชนแห่งนี้ต่อไป
เธอย้อนความให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นในการเข้ามาเป็นยุวมัคคุเทศก์ว่า หลังจากได้เห็นการทำงานของรุ่นพี่ จึงเกิดความสนใจ และอยากจะลองเข้ามาทำงานบ้าง หลังจากนั้นจึงไปอบรมและได้เป็นยุวมัคคุเทศก์รุ่นที่ 4 ดั่งใจหวัง
แม้ว่าในการมาเป็นยุวมัคคุเทศก์นั้นจะได้ค่าตอบแทนไม่มาก แต่นั่นเป็นเพียงสินน้ำใจ ที่ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการทำกิจกรรม ที่มีส่วนหล่อหลอมให้เด็กๆ ลูกหลานชาวจันเสน มีความรู้และสำนึกรักในถิ่นเกิดของตนเอง
“สิ่งที่ได้จากการเป็นยุวมัคคุเทศก์ คือได้ประสบการณ์ในการทำงาน การได้มาพบเจอผู้คน และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้ เกิดความกล้า กล้าที่จะพูดคุย และแสดงออก สิ่งสำคัญคือทำให้มีโอกาสในการเรียนต่อในระดับ ปริญญาตรี” อดีตยุวมัคคุเทศก์ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนี้มีความเข้มแข็งและประสบความสำเร็จนั่นคือ ความหวงแหน และห่วงใยของยุวมัคคุเทศก์รุ่นพี่ ที่เมื่อจบไปแล้วก็จะยังคงกลับมาต่อยอดความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆรุ่นหลัง ช่วยกันปลูกฝัง ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ในบ้านเกิด จนเกิดเป็นความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง