- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- อุทกภัย ทุบหม้อข้าว กับหนทางเยียวยา "ลูกจ้าง" เกือบครึ่งล้านคน
อุทกภัย ทุบหม้อข้าว กับหนทางเยียวยา "ลูกจ้าง" เกือบครึ่งล้านคน
....“ลูกจ้างทั้งที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมฯ ยังไม่รู้ว่าจะตกงานหรือเปล่า เรากำลังรอคำตอบว่าประกันสังคมจะช่วยเหลืออย่างไร”
....“ระหว่างรอนายจ้างบอกเลิกจ้าง จะเอาเงินที่ไหนเป็นค่ากินค่าอยู่”
....“ความเสียหายที่เกิดขึ้นนายจ้างคงไม่สามารถจ่ายค่าแรงได้อีกต่อไปกว่าจะฟื้นตัวคงต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ และยังหางานทำใหม่ไม่ได้ จะสามารถเบิกเงินทดแทนการว่างงานได้หรือไม่”
เหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า คือคำถามที่ถามแทนลูกจ้าง ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 2 แสนคนที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากสถานประกอบการต้องหยุดดำเนินการใน 5 นิคมอุตสาหกรรมของจ.พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมโรจนภาะ และเขตประกอบการอุตสาหกรรม factory land ที่ถูกน้ำท่วมจมมิด
รวมไปถึงเขตอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมไฮเทค และบางปะอิน ฐานการผลิตช้ินส่วนอุตสาหกรรมสำคัญ มีโรงงานผลิตสินค้ารายใหญ่จำนวนมากรวม 227 โรงงาน ซึ่งมีการจ้างงาน 120,000 คน
ล่าสุดแนวคันกั้นน้ำทางทิศตะวันตกได้พังทะลายลงมาเปิดทางให้น้ำทะลักเข้าไปเต็มพื้นที่แล้ว ..
* หมายเหตุ : รวบรวมข้อมูลโดยศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูป ข้อมูลจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2554
ปัจจุบันกองทุนประกันการว่างงานมีเงินสะสมมากกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวสะสมไว้ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงานด้วยเหตุที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ หรือกรณีโรงงานหยุดดำเนินการเพราะภัยพิบัติ ดังนั้น เหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ ความช่วยเหลือที่สามารถทำได้เฉพาะหน้า สำหรับลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนนั้น
ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เสนอว่า ให้กองทุนประกันสังคมใช้กลไกการประกันการว่างงานในการช่วยเหลือลูกจ้างที่ต้องหยุดงานเพราะภัยน้ำท่วม และเป็นลูกจ้างในระบบประกันสังคมที่เคยสมทบเงินประกันสังคมมาก่อน ไม่ใช่ลูกจ้างทั่วไป จากนั้นให้สถานประกอบการในเขตน้ำท่วมแจ้งแก่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ถึงจำนวนวันที่หยุดดำเนินงาน เพื่อใช้ในการคำนวณเงินชดเชยกรณีว่างงาน
"เงินชดเชยดังกล่าวเป็นสิทธิของผู้ประกันตนที่จะได้รับความคุ้มครอง ด้วยเงินชดเชยร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เชื่อว่า จะเป็นการช่วยบรรเทาภาระด้านการเงินให้แก่ลูกจ้างได้ในระดับหนึ่ง"
ส่วนนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย มองถึงภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้ว่า ค่อนข้างร้ายแรงมาก เพราะมีนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหลายแห่ง สร้างความเสียหายกันทั่วหน้าทั้งนายจ้างลูกจ้าง มูลค่าของนายจ้างอาจเสียหายเกือบแสนล้านบาท และมีผู้ใช้แรงงานที่เดือดร้อนกว่า 3 แสนคน ดังนั้นภาครัฐ ต้องหามาตรการช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้างโดยด่วน ส่วนนายจ้างรัฐควรช่วยฟื้นฟูให้สามารถทำการผลิตได้โดยเร็ว ทั้งสินเชื่อราคาถูก ส่วนแรงงานไม่มีระบบประกันภัยการขาดรายได้ใดๆ รัฐควรมีการพิจารณาช่วยเหลือด่วน เนื่องจากแรงงานไม่มีทุนสำรองในการดำรงชีวิต
ในฐานะที่เป็นหลักในการดูแลผู้ประกันตนยามเดือดร้อน ยามนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้เตรียมมาตรการเยียวยาหลังน้ำลดอะไรเอาไว้บ้างแล้ว นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการ สปส. บอกว่า ได้เตรียมเสนอมาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 1-2 ของค่าจ้าง เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการและผู้ประกันตนที่ประสบอุทกภัย เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประกันสังคม ซึ่งเป็นมาตรการชั่วคราวมีระยะเวลา 1-2 ปี
กรณีหากมีการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก สปส.จะเร่งช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน
-ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างจะต้องอายุไม่เกิน 55 ปี และจะต้องขึ้นทะเบียนหางานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐทั่วประเทศ ภายใน 30 วัน หลังจากถูกเลิกจ้าง เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงาน หากเกิน 30 วัน จะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ได้ครบถ้วน
-ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง มีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไป ได้รับสิทธิประโยชน์ ในกรณีชราภาพโดยได้รับเงินออมบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพ ตามเงื่อนไขในการรับประโยชน์ทดแทน
ในกรณีผู้ประกันตนประสงค์จะใช้สิทธิประกันสังคมต่อไป สามารถที่จะสมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 39 โดยยื่นแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-20) ด้วยตนเองภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ออกจากงาน ซึ่งผู้ประกันตนตาม มาตรา 39 จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายประกันสังคมต่อไปรวม 6 กรณี ได้แก่ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย,ทุพพลภาพ,ตายไม่เนื่องจากการทำงาน,คลอดบุตร,สงเคราะห์บุตร,ชราภาพ โดยผู้ประกันตนจะนำส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 432 บาท ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งเงินสมทบได้สะดวกหลายช่องทาง
นอกจากนี้ การช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ประสบอุทกภัย สปส.ได้คลอด "โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย" ออกมา โดยขยายเวลายื่นกู้เพิ่มขึ้นอีกไปสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2555 เพื่อให้สิทธิผู้ประกันตนตาม มาตรา 33,39 และ40 นำเงินมาซ่อมแซมบ้านพักอาศัยที่เสียหายจากการถูกน้ำท่วม ซึ่งสามารถยื่นกู้กับธนาคารทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารออมสิน ในวงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท เสียดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 2.5 ต่อปี คงที่ 2 ปี
ด้านผู้ประกอบการก็มีโครงการช่วยเหลือสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้เช่นกัน กำหนดวงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 ต่อปี คงที่ 3 ปี ยื่นกู้กับธนาคาร 3 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ท้ายสุดเจ้ากระทรวงอุตสาหกรรม นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ก็หามาตรการเยียวยาให้กับแรงงานเช่นกัน ตั้งโครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ในกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลักษณะการดำเนินงานคล้ายๆ กัน เพื่อใช้แรงงานกลุ่มเดียวกันไปทำงานในโรงงานที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม โดยจะมีการจ่ายเงิน และให้สวัสดิการเหมือนเดิมทุกอย่างเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน ส่วนผู้ใช้แรงงานที่ตกงานไม่มีงานรองรับจะดำเนินโครงการฝึกอบรมทักษะ ให้ความรู้วิชาชีพต่าง ๆ เพื่อนำอาชีพไปประกอบอาชีพต่อไป ทั้งนี้ จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง
พร้อมกันนี้ กรณีการฟื้นฟู ซ่อมแซมเครื่องจักรกลเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำการซ่อมแซมเครื่องจักรดังกล่าว นอกจากนั้นจะได้ประสานกรมอาชีวศึกษาเพื่อนำนักศึกษาที่มีความรู้สามารถซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องจักรในเบื้องต้นได้ ทำการซ่อมแซมให้กับโรงงานต่าง ๆ อีกด้วย
ตรวจสอบรายชื่อสถานประกอบกิจการที่เปิดรับสมัครลูกจ้างตามโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อช่วยเหลือนายจ้าง ลูกจ้างที่ประสบอุทกภัย ประกอบด้วย สถานประกอบกิจการใน 13 จังหวัด จำนวน 48 แห่ง รับลูกจ้างได้ 10,189 คน ข้อมูล ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2554 http://portal.labour.go.th/labour/th/index.php/2011-04-07-10-51-50/8587-2554-10-17-09-10-56