- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- หลากวิธีพลิกฟื้นวิกฤตไทย....หลังน้ำลด
หลากวิธีพลิกฟื้นวิกฤตไทย....หลังน้ำลด
น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะนำความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมาให้ประชาชนเกือบทุกพื้นที่ ขณะเดียวกันความเดือดร้อนถ้วนหน้ายังทำให้สังคมไทยที่เคยอยู่กับความอยู่ขัดแย้ง แบ่งแยกสี ได้หันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจ รวมถึงร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมที่เป็นวิกฤตใหญ่กว่า การแยกสี
ดังจะเห็นจากบทบาทของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้าน ที่ร่วมหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือน้ำท่วม (ศปภ.) รวมทั้งลงพื้นที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่
ภาพดังกล่าวทำให้คนไทยที่ประสบอุทกภัยใจชื้นขึ้น โดยสะท้อนผ่านการสำรวจของหลายสำนักว่า เริ่มเห็นทิศทางที่ดีของประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ “โคทม อารียา” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดีของประเทศ เพราะการที่คนไทยมีความทุกข์ร่วมกันทำให้ความสัมพันธ์ของคนดีขึ้น ถือเป็นอัตลักษณ์ของคนไทยอยู่แล้ว ความเดือดร้อนจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จึงทำให้คนที่เคยโกรธแค้น เกลียดชังกันอยากช่วยเหลือกันเพื่อช่วยลดความทุกข์
ทั้งนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่า แม้คนไทยจะเริ่มหันหน้ามาช่วยเหลือกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเห็นเป็นตะกอนอยู่ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของกองเชียร์แต่ละฝ่าย ดังจะเห็นว่า ถ้าไม่ชอบฝ่ายไหนก็จะวิจารณ์การทำงานของฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง แม้ตอนนี้จะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีของความสามัคคีแต่ก็ยังถือว่า ยังไม่เต็มร้อย เพราะคนไทยยังไม่รู้สึกถึงการมีชะตากรรมร่วมกันอย่างแท้จริง จึงถือว่า สังคมไทยมีช่องว่างที่เปราะบางอยู่
“หลังน้ำลดผมอยากเห็นกระบวนการที่ทำให้เหตุการณ์เลือกที่รักมักที่ชังลบเลือนหายไป ทั้งนี้เพื่อลดความแตกแยก การไม่ลงรอยกันให้อยู่ในขอบเขต ไม่ให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งควรมีกระบวนการให้ทุกฝ่ายยอมรับกติกา งดสร้างวาทกรรมที่ไม่ดีต่อกันจนเกินขอบเขตหรือถ้ามีก็ไม่ควรสร้างความอึดอัดจนนำไปสู่ความรุนแรง”นักวิชาการด้านสันติวิธีเสนอ
เขายังสะท้อนสถานการณ์ช่วงนี้อีกว่า ขณะนี้สังคมไทยเห็นภาพผู้นำฝ่ายค้านมีท่าทีอ่อนลง ดังนั้นรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ควรแสดงจิตใจที่กว้างใหญ่ด้วยการยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์และข้อเสนอแนะให้ได้ นอกจากนี้หลังน้ำลดรัฐบาลควรรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายเพื่อมาร่วมกัน วางแผน ปรึกษาหารือและปฏิบัติการณ์เพื่อวาระหลังน้ำลดเป็นวาระแห่งชาติ โดยกระบวนการดังกล่าวควรได้รับความร่วมมือจากข้าราชการประจำที่มีข้อมูลและมีความรู้ความสามารถ
“สิ่งที่ต้องเร่งฟื้นฟูไปพร้อมกับกระบวนการในครั้งนี้ คือ การเร่งฟื้นฟูชุมชนที่ไม่ลงรอยกันระหว่างน้ำท่วมเพื่อให้สามารถหันหน้าคุยกันให้ได้ ถ้าชุมชนฟื้นตัวช้าจะไม่สามารถรักษาชุมชนไว้ได้ ทั้งนี้ในระดับชุมชนและระดับชาติควรดำเนินการไปพร้อมกันหรือที่เรียกว่า ระดับบนและระดับล่างต้องเดินไปพร้อมกัน ผมมองว่า มีความเป็นไปได้ หากสังคมไทยทำได้ก็จะสามารถผ่านวิกฤตครั้งใหญ่หลังน้ำท่วมไปได้”นักวิชาการผู้นี้ กล่าวด้วยความหวัง
ส่วน พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล แห่งสถาบันพระปกเกล้า กล่าววิเคราะห์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้เริ่มเห็นปรากฎการณ์ประชาชนเริ่มมีความขัดแย้งกับประชาชนเอง ทั้งจากประชาชนในพื้นที่และประชาชนนอกพื้นที่ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนไทยไม่เคยถูกฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองก่อน ดังจะเห็นว่า ภายหลังเกิดความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติต่างๆ เราชินกับการรอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐ
“ผมมองว่า ภายหลังน้ำลดความขัดแย้งนี้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่มีกระบวนการก็จะยิ่งมีความขัดแย้งมากขึ้น ดังนั้นต้องมีแนวทางให้เกิดการตั้งเวทีขึ้นพูดคุยกันในชุมชนเพื่อเป็นการเปิดใจคุยกัน ไม่ควรพูดเรื่องความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ควรร่วมกันวางแผนเพื่อหาแนวทางการป้องกันชุมชนในอนาคต หากคุยกันตอนนี้ก็ยังจะไม่เห็นอะไร เพราะต่างฝ่ายต่างกำลังโกรธ คุยกันตอนนี้อาจมองไม่เห็นหนทาง โดยเฉพาะตอนเหนื่อย ตอนหิว ก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ดังนั้นชุมชนใดที่ขัดแย้งกันต้องรอให้หายโกรธ แล้วรีบจัดเวทีเพื่อสรุปบทเรียนความขัดแย้งให้เร็วที่สุด”พล.อ.เอกชัย เสนอ
ทั้งนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในชุมชนเกิดความขัดแย้ง เป็นเพราะความไม่รู้ในการจัดการน้ำที่ถูกต้อง เราจึงเห็นปรากฎการณ์ของคนริมฝั่งคลองทะเลาะกันเพื่อเรียกร้องให้ฝั่งที่ยังไม่ท่วมได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นหลังน้ำลดรัฐบาลควรมีการสื่อสารและจัดการความรู้เรื่องน้ำผ่านสื่อ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุดและปัญหานี้จะได้ไม่เกิดซ้ำอีกในอนาคต
สำหรับภาคการเมืองนั้น เขาเสนอว่า ควรหันหน้าเข้าหากัน ด้วยการตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นศูนย์เดียวกัน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดวิกฤตซ้อนวิกฤติเกิดขึ้นอีก
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการกู้วิกฤตของทุกภาคส่วน คือ การระดมสมอง โดยไม่มองหาคนผิดหรือหาแพะรับบาปกับการแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำ แต่ควรพูดคุยถึงการวางแผนการป้องกันที่ดี เพราะนับจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2538 ก็ยังไม่มีรัฐบาลใดวางแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง”เขากล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.เอกชัย ยังเสนอแนวทางการฟื้นฟูหลังน้ำลดว่า เพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นซ้ำอีก โดยเฉพาะความขัดแย้งด้านงบประมาณทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง เสนอว่า ควรทำแผนเพื่อปรับสภาพหลังน้ำลดขึ้นมา เรื่องนี้รัฐบาลกลางควรนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมวางแผนเพื่อให้เป็นระบบมากที่สุด มิฉะนั้นการแก้ไขปัญหาจะบานปลายมากยิ่งขึ้น
ขณะที่นายสมชาย หอมละออ นักกฎหมายและหนึ่งในคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวว่า ความจริงสภาพสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเอื้ออาทรกันสูง แต่ขาดวินัยจึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นระหว่างสองฝั่งคลอง ทั้งที่ความจริงปัญหาเหล่านั้นสามารถจัดการร่วมกันได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมกันก็ทำให้ชุมชนเกิดความขัดแย้งขึ้น สังคมไทยมีความแตกต่างจากสังคมญี่ปุ่นที่เมื่อเกิดวิกฤตก็หันหน้าเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างผู้มีวินัย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน ต้องมีการปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก อย่างเป็นกระบวนการตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียนและผู้ใหญ่ ซึ่งสังคมไทยขาดการปลูกฝังจึงทำให้เกิดสภาพความขัดแย้งอย่างที่เป็นอยู่ หากเรามีการปลูกฝังแบบนั้นบ้านเมืองเราก็จะเป็นระเบียบและเกิดความขัดแย้งน้อยกว่านี้
เขายังกล่าวอีกว่า ปัจจัยสำสำคัญที่จะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการเป็นผู้เสียสละรับน้ำที่ไหลเข้าท่วมพื้นที่ รัฐบาลกลางจะต้องให้ความเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะได้รับการเยียวยากับการเป็นผู้เสียสละแทนผู้อื่น แต่ตอนนี้คณะผู้บริหารยังอ่อนประสบการณ์ในการทำงานจึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ยากเกินกว่าจะแก้ได้ จึงเกิดปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นที่คลองสามวาจนทำให้เกิดความบาดหมางในพื้นที่เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานครขึ้นได้ อีกทั้งการแก้ไขปัญหามีความซับซ้อนที่ต้องการความฉับไว แต่ผู้บริหารกลับไม่ใช้อำนาจในการสั่งการ
“ในกรณีแบบนี้ที่การบริหารงานยุ่งยากและซับซ้อนเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเพิ่มอำนาจและลดขั้นตอนในการบริหารงานเพื่อให้การบรรเทาทุกข์เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนี้นายกฯ กลับไม่ใช้อำนาจนั้น จึงทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าและเกิดปัญหาเรื้อรัง”นักกฎหมายผู้นี้ แนะนำ
ในฐานะที่เป็นผู้ทำงานลดความขัดแย้ง “สมชาย” จึงเสนอให้รัฐบาลออกแบบการแก้ไขปัญหาระยะยาวเพื่อลดความขัดแย้ง ทั้งภาคธุรกิจ สังคม และการเมือง โดยเฉพาะการเตรียมแผนฟื้นฟูชีวิตของชาวบ้านและการเยียวยาความเสียหายทรัพย์สินหลังน้ำท่วมนั้น รัฐบาลควรเสนอมาตรการออกมาเพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่า พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเต็มที่ อีกทั้งตอนนี้ควรมีผู้มีประสบการณ์เข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการไกล่เกลี่ยที่ถือว่า มีความสำคัญมาก
นอกจากนี้รัฐบาลควรมองไปถึงการแก้ไขปัญหาคนฉวยโอกาสภายหลังน้ำลดเช่นเดียวที่เคยเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์สึนามิที่นายทุนเข้าฮุบพื้นที่ชนกลุ่มน้อยจนไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเรื่องนี้ผู้ที่มีประสบการณ์จะต้องเข้ามาช่วยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
“หลังน้ำลดผมไม่คิดว่า สถานการณ์ในบ้านเราจะเกิดสภาพความขัดแย้งถึงขั้นแย่งกันกินแย่งกันใช้จนเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงเหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดที่เฮติหลังอุทกภัยและแผ่นดินไหว เพราะอย่างน้อยประเทศไทยยังมีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ดี ไม่ได้ท่วมทุกพื้นที่ เรายังสามารถดูแลและฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองขึ้นมาได้"
โดยเขากังวลว่า หลังน้ำลดจะมีกระบวนการที่เป็นการซ้ำเติมวิกฤต คือ การเรียกร้องให้เกิดความรับผิดชอบในการบริหารของรัฐบาลที่เชื่อว่า หากเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก สภาพบ้านเมืองก็จะยิ่งตกต่ำลงไปอีก ขณะนี้เราควรหาทางออกร่วมกัน รวมทั้งควรมีหน่วยวิชาการที่มาเก็บรวบรวมเพื่อสรุปบทเรียนสำหรับการทบทวนเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่า ควรมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้หลังน้ำลดเราต้องระดมทุกฝ่ายเพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไข
แนวทางเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อเสนอของนักสันติวิธีที่ต้องการเห็นภาพสังคมไทยพลิกฟื้นขึ้นมายืนได้อย่างองอาจอีกครั้ง ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลจะนำไปพิจารณา