- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เมื่อ 3 รัฐมนตรี ศธ.“เกาเหลา” ได้เวลา “ยิ่งลักษณ์”ผ่าตัดใหญ่!!
เมื่อ 3 รัฐมนตรี ศธ.“เกาเหลา” ได้เวลา “ยิ่งลักษณ์”ผ่าตัดใหญ่!!
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน หรือความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองในพรรคเดียวกัน
ไม่เว้นแม้แต่ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง "รัฐมนตรี" ในกระทรวงเดียวกัน!!
อย่างปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกระทรวงคมนาคมก่อนหน้านี้ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม "พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" กับ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม "พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก" และ "นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์" เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในการทำงานระหว่าง 3 รัฐมนตรี แต่ในที่สุดก็มีการนัดรับประทานอาหาร และจับมือโชว์สื่อมวลชน เพื่อยืนยันว่าไม่ได้กิน "เกาเหลา" กันแต่ประการใด
ล่าสุด มีกระแสข่าวว่านายกรัฐมนตรี "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เตรียมจะเข้ามาเคลียร์ปัญหาเกาเหลาที่เกิดขึ้นภายในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ระหว่าง "นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กับ "นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล" และ "นางบุญรื่น ศรีธเรศ" รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.
หลังจากก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวเตรียมปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังปีใหม่ โดยมีรายชื่อรัฐมนตรี ศธ.2 คน ที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก ได้แก่ นายวรวัจน์ และนายสุรพงษ์ เพราะไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาไม่กินเส้นกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการ ศธ.กับ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.เกิดขึ้นมาตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และก้าวเท้าเข้ามาทำงานในวังจันทรเกษม
เนื่องจากปัญหาในการ "แบ่งงาน" ของนายวรวัจน์ เพราะแทนที่จะแบ่งงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ให้ดูเป็น "แท่ง" หรือ "องค์กรหลัก" เหมือนที่เป็นมาในอดีต นายวรวัจน์กลับมีแนวคิดที่เจ้าตัวมองว่าเป็นการทำงานแบบบูรณาการ โดยแบ่งงานในแนวนอน คือแบ่งงานให้ดูแลรับผิดชอบตาม "ภูมิภาค" ที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.แต่ละคนเป็น ส.ส.อยู่ในพื้นที่นั้นๆ
โดยนางบุญรื่นได้รับมอบหมายให้สั่ง และปฏิบัติราชการแทน ในส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนนายสุรพงษ์ ให้สั่ง และปฏิบัติราชการแทน ส่วนราชการ สป.ศธ. สกศ. สพฐ. สอศ.และ สกอ.ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ขณะที่ตัวนายวรวัจน์เอง ดูแลพื้นที่จังหวัดในภาคเหนือ และภาคใต้
หลังจากนายวรวัจน์แบ่งงานตามภูมิภาค ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวคิดแปลกๆ เช่นนี้ และตามมาด้วยกระแสความ "ไม่พอใจ" ของรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ทั้ง 2 ท่าน รวมถึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังมาจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง
เพราะการแบ่งงานเช่นนี้ เท่ากับรัฐมนตรีว่าการ ศธ. "รวบอำนาจ" การสั่งการไว้เพียงคนเดียว ขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ไม่มีอำนาจในการสั่งการใดๆ ได้เลย เนื่องจากผู้บริหารองค์กรหลักจะต้องรอรับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการ ศธ.โดยตรงแต่เพียงผู้เดียว
ทำให้ทั้งนายสุรพงษ์ และนางบุญรื่น พยายามอย่างยิ่งที่พูดคุยกับนายวรวัจน์ และขอให้เปลี่ยนรูปแบบการแบ่งงานใหม่ แต่นายวรวัจน์ยังคงยืนยันแนวคิดการแบ่งงานตามภูมิภาคไปก่อน เมื่อทำไปแล้วมีปัญหา หรืออุปสรรค ก็ค่อยมาว่ากันใหม่
แนวคิดที่ไม่ตรงกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ทำให้เกิดความ "ร้าวฉาน" ระหว่าง 3 รัฐมนตรี เพราะในช่วง 3 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าทั้งนายสุรพงษ์ และนางบุญรื่น แทบจะหายตัวไปจาก ศธ.โดยไม่ปรากฎเป็นข่าวคราวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสุรพงษ์
ส่วนนางบุญรื่นก็ยังพอมีข่าวคราวปรากฎให้เห็นเป็นบางครั้งบางคราวหลังจากตั้งหลักได้ โดยได้หยิบประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) ของมหาวิทยาลัยอีสาน จ.ขอนแก่น ขึ้นมาดูแล ในฐานะที่ดูแลรับผิดชอบงานในพื้นที่ภาคอีสาน
ปัญหาความไม่กินเส้นระหว่าง 3 รัฐมนตรี ศธ.ยังคงปรากฎขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมี "โผ" รายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกปรับออกหลังปีใหม่ โดยมีชื่อ 2 รัฐมนตรี ศธ.คือนายวรวัจน์ และนายสุรพงษ์ อยู่ในโผด้วย
เรื่องนี้ทำให้นายสุรพงษ์ถึงกับฟิวส์ขาด ออกมา "ดับเครื่องชน" นายวรวัจน์ โดยระบุว่า ถูกรวบอำนาจ ทั้งตน และนางบุญรื่น อึดอัดมาก มาเป็นรัฐมนตรีแบบไม่มีความสุข เพราะการแบ่งงานของนายวรวัจน์เป็นแนวนอน ทุกเรื่องต้องตรงไปที่นายวรวัจน์ ทั้งนโยบายการบริหารงานบุคคล และงบประมาณ ผิดกับทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาที่แบ่งงานเป็นแท่ง ให้อำนาจรัฐมนตรีแต่ละคนได้ดูแลเป็นองค์กรหลัก
"ตลอดเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ได้หารือกับนายวรวัจน์มาโดยตลอดว่าการแบ่งงานแนวนอน และรวบอำนาจไว้ โดยอ้างว่าทำงานแบบบูรณาการ ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนงานของแต่ละแท่งตามนโยบายของรัฐบาลได้ และขอให้นายวรวัจน์คายอำนาจ เพราะเมื่อรวบอำนาจไว้แบบนี้ ทำให้รัฐมนตรีช่วยว่า ศธ.ไม่สามารถทำงานได้"
แต่ดูเหมือนนายวรวัจน์ยังคงนิ่งเฉยกับเสียงเรียกร้องของนายสุรพงษ์ ประกอบกับมีกระแสข่าวออกมาว่า "พี่ชาย" ของรัฐมนตรี ศธ.บินไปพบ "นายใหญ่" ถึงฮ่องกง เพื่อขอให้ "น้องชาย" เป็นรัฐมนตรี ศธ.ต่อ ซึ่งเรื่องนี้นายวรวัจน์ออกมาปฏิเสธเสียงดังว่าไม่จริง
ปัญหาดูเหมือนจะเริ่มบานปลาย บวกกับกระแสข่าวว่ามีอดีตผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ถูก ศธ.ควบคุมกิจการอยู่ พยายามวิ่งเต้นกับรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเพื่อขอให้ยกเลิกการควบคุมกิจการ ซึ่งเป็นที่มาของข่าวลือที่ว่านายวรวัจน์เตรียมปรับรูปแบบการแบ่งงานใหม่ แต่จะดึง "สกอ." เอาไว้ดูแลเอง เนื่องจากรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ทั้ง 2 คน เกี่ยงกันดูแล สกอ.
งานนี้ ทำให้นายสุรพงษ์ออกมาตอบโต้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.อีกครั้ง โดยระบุว่านายวรวัจน์จะทำอะไรก็ตาม ควรจะสอบถามรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ทั้ง 2 คนก่อน เพราะที่มีข่าวว่าไม่อยากกำกับดูแล สกอ.ทำให้เกิดความเสียหายกับตน และนางบุญรื่น ขณะเดียวกัน นายวรวัจน์ได้นัดหารือกับนายสุรพงษ์ และนางบุญรื่น เพื่อแบ่งงานกันใหม่ แต่นางบุญรื่นขอให้แบ่งงานตามภูมิภาคเหมือนเดิมไปก่อน เพราะมองว่าหลังปีใหม่จะมีการปรับ ครม.ฉะนั้น แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการแบ่งงานในช่วงนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้น การแบ่งงานของ ศธ.ก็ยังคงแบ่งตามภูมิภาค เพียงแต่จะให้แต่ละองค์กรหลัก จัด "รองเลขาธิการ" มาช่วยดูแลนายสุรพงษ์ และนางบุญรื่น รวมทั้ง ให้อำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารงานบุคคล และงบประมาณ ในพื้นที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ทั้ง 2 คนยื่นข้อเสนอ
และหลังจากการที่มีกระแสข่าวว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะเข้าปัญหา "เกาเหลา" ระหว่างรัฐมนตรี ศธ.ก็ทำให้ทั้งนายวรวัจน์ และนายสุรพงษ์ ออกมาประสานเสียงตรงกันเป็นครั้งแรกว่า "ไม่ได้มีปัญหา ทุกอย่างจบแล้ว เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น"
อย่างไรก็ตาม ปัญหา "เกาเหลา" ของรัฐมนตรี ศธ.ที่ยืดเยื้อมายาวนานถึง 4 เดือน ทำให้ "การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง" ที่หลายๆ ฝ่ายรอคอยให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาขับเคลื่อนต่อ หยุดชะงัก และไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการสานต่อจากรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ในยุคนี้
โดยเฉพาะนโยบายต่างๆ ที่นักการศึกษาคาดหวังว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าเป็นรัฐบาล ก็จำเป็นจะต้องสานต่อ ไม่ว่าจะเป็นงานการปฏิรูปการศึกษา หรือการเปลี่ยนสถานภาพจาก "มหาวิทยาลัยรัฐ" เป็น "มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล" เพื่อความคล่องตัว และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งขณะนี้มีร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ 4 ฉบับ ที่เสนอให้นายวรวัจน์นำเข้าที่ประชุม ครม.ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากนายวรวัจน์อ้างว่าไม่มีนโยบายจะผลักดันให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ ทั้งที่เรื่องนี้ผลักดันกันมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนานถึง 40 ปี และมีมหาวิทยาลัยที่ทยอยเปลี่ยนสถานภาพไป 14 แห่งแล้ว
หรืออย่างโครงการ "ครูพันธุ์ใหม่" ที่นายวรวัจน์ยืนยันว่าไม่ใช่นโยบายรัฐบาลชุดนี้ จึงไม่เสนอแปรญัตติเพื่อของบประมาณให้ รวมทั้ง งบประมาณด้านการวิจัย ทั้งที่รัฐบาลชูเรื่องงานวิจัยเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
แต่สิ่งเดียวที่นายวรวัจน์ออกแรงผลักดันตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ก็คือการแจก "แท็บเล็ต" ในโครงการ One Tablet Pc per Child โดยจะแจกนักเรียนชั้น ป.1 ทุกคน และขณะนี้ได้เตรียมโยกงบประมาณจัดซื้อหนังสือจากโครงการเรียนดี เรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ มาจัดซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียนชั้น ป.6-ม.6 รวมถึง ให้ สอศ.โยกงบประมาณโครงกาเดียวกันนี้ของ สอศ.ซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
ฉะนั้น เพื่อพิสูจน์ความ "จริงใจ" ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลแล้ว นอกจากจะเข้ามาเคลียร์ปัญหาเกาเหลาใน ศธ.เพื่อให้การทำงานเดินหน้าต่อไปได้แล้ว
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ น่าจะถือโอกาสนี้ “ผ่าตัด” ใหญ่ เพื่อให้ได้ "บุคคล" ที่เหมาะสม เข้าใจการศึกษา และใจกว้าง เข้ามาเป็น "รัฐมนตรี ศธ." อีกด้วย..
เพราะถ้าได้บุคคลที่ไม่เข้าใจงานด้านการศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่นด้วยแล้ว คิด หรือทำอะไรตามใจฉันอย่างเดียว..
โอกาสที่การศึกษาของชาติ จะพัฒนาให้เทียบเคียงนานาประเทศ ก็คงเป็นได้แค่ความฝัน!!