- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ทัศนะ "กองทัพ-ฉก.6080 " โฟกัส "หมิ่นสถาบัน-มาตรา112"
ทัศนะ "กองทัพ-ฉก.6080 " โฟกัส "หมิ่นสถาบัน-มาตรา112"
แผงอำนาจของกองทัพนับในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของนายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” น่าจะเป็นหลักประกันที่แข็งแกร่งที่สุดในการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะความเคลื่อนไหวในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน และ ตัวบุคคลในสถาบัน มีความเข้มข้นขึ้น ในสื่อออนไลน์ และ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค
การดำเนินการของกองทัพในการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหมิ่นสถาบัน เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อช่วงหลังการรัฐประหารปี 2549 โดยเฉพาะช่วงที่ผู้นำทางทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ได้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้ยกฐานะหน่วยงานพิเศษเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์ การจัดกิจกรรมในการวิเคราะห์ วิจารณ์สถาบันอย่างต่อเนื่อง
ภารกิจนี้เคยเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการทำงานของ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) โดยเชิญเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ มาร่วมทำงาน แต่เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และเห็นว่าเรื่องดังกล่าวควรมีการทำงานภายใต้องค์กรของรัฐบาล และ ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
จนมีแนวคิดในช่วงที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ผอ.รมน.) ให้ตั้งหน่วยงานพิเศษที่ชื่อว่า ฉก.6080 ไปสังกัด กอ.รมน. มีเจ้าหน้าที่ของ กระทรวงเทคโนโลยี และ สารสนเทศ (ไอซีที) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)เข้ามาร่วมทำงานในภารกิจนี้ จนเป็นพิเศษ กลายเป็นงานรายวัน
แต่ทว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการระงับไป เพราะ กอ.รมน. ก็ไม่ต้องการจับ “ประเด็นร้อน” และ เสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเชือดฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้น ฉก. 6080 จึงยังสังกัดกองทัพบก ภายใต้ ศปก.ทบ.เหมือนเดิม โดยมีคำสั่งในการแต่งตั้งตามกฎหมาย แต่การทำงานของหน่วยดังกล่าวไม่ประสงค์เปิดเผยตัว หากมีการพบหลักฐาน หรือ ปรากฎการกระทำที่หมิ่นสถาบัน ก็จะส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินการ โดยที่กองทัพทำหน้าที่แค่หน่วยในการติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เท่านั้น โดยมีการมอบหมายงานที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสถาบัน และ โครงการพระราชดำริ ในศูนย์การปฏิบัติที่ 6 ของ กอ.รมน.เป็นฉากหน้า
กระนั้น ในช่วงที่มีการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง มีการพิจารณาในประเด็นการทำกิจกรรมและ การสื่อสารวิพากย์วิจารณ์สถาบันกันทาง โซเชี่ยลมีเดีย และ เว็บไซต์
ในครั้งนั้น ศอฉ. ได้แจก “ผังล้มเจ้า” ซึ่งมีบุคคล และ องค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายนี้จำนวนมาก ส่งผลให้ “อาจารย์ยิ้ม” สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ถูกพาดพิงได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ศอฉ. ข้อหาหมิ่นประมาทโดยไม่มีหลักฐาน ทว่าหลังจากนั้น ได้มีการชี้แจงจากฝ่าย ศอฉ.ว่า เป็นเพียงความคิดเห็น
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่รวบรวมและทำคดีนี้ได้รับข้อมูลส่งต่อมาจาก หน่วยพิเศษดังกล่าว ซึ่งหลายกรณีมีการรวบรวมเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อประกอบสำนวนคดีของดีเอสไอ เพื่อให้มีความหนักแน่นขึ้น ไม่ได้เป็นแค่ “ความคิดเห็น” เหมือนเช่นคำให้การของตัวแทน ศอฉ. ได้ทิ้งไว้ เพราะขณะนั้นก็ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูลได้ เนื่องจากองค์กรดังกล่าวมีตัวบุคคลที่ทำงานที่ไม่เปิดเผย และ เมื่อเวลาให้ข้อมูลการทำหน้าที่ของฉก.นี้ ก็จะปัดว่าเป็นหน่วยที่อยู่ภายใต้ร่มของ ศปก.ทบ.ที่ขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาผู้กระทำการหมิ่นสถาบัน
สิ่งที่น่าสนใจคือหน่วยงานนี้มีหลักในการทำงานอย่างไร หรือ มีกรอบในการพิจารณาว่าใครเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมายในเบื้องต้นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าทหารที่ทำงานในหน่วยพิเศษนี้ต้องมีทัศนคติในการปกป้องสถาบันเป็นหลัก แต่เหรียญอีกด้านก็เสี่ยงกับการใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินผู้ที่มีพฤติการณ์หมิ่นสถาบัน ไปในทางเกลียดชังสุดขั้ว
แต่สิ่งที่สำคัญคือ นโยบายระดับบนของกองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศจุดยืนว่า ต้องปกป้องรักษาสถาบันยิ่งชีวิต อีกทั้งมีความห่วงใยต่อสถานการณ์หมิ่นสถาบันในสื่อออนไลน์ กันอย่างกว้างขวาง และ มีเนื้อหาที่หนักหน่วง
ถึงขนาดที่ต้องเอ่ยปากฝาก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้ดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะทั้งสองคนคือองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี ที่พอมีปากมีเสียงในการส่งสัญญาณปรามคนในพรรคได้
“ผบ.ทบ. อยากให้รองนายกฯ ดูแลเรื่องเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค ที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง ผบ.ทบ.บอกว่าท่านห่วงและกังวลใจมากเรื่องนี้เพราะทหารมีหน้าที่ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และท่านไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจก็มีหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ สิ่งที่เราพูด คือ สิ่งที่เราตั้งใจทำ ซึ่ง ผบ.ทบ.รู้ว่าใครทำ ต้องให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนจำเป็นต้องออกกฎหมายพิเศษหรือไม่นั้น เราคิดว่าไม่จำเป็น แต่เราต้องเอาใจใส่กันให้มากทั้งตำรวจ ทหารและส่วนที่เกี่ยวข้อง” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุหลังจากที่ พา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. มาพบที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ในขณะที่ การส่งสัญญาณถึงมวลชนคนเสื้อแดงให้หยุดยั้งเรื่องดังกล่าวไม่ให้รุนแรงไปกว่านี้ คงต้องเป็นคนระดับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลยไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่กลุ่มคนพวกนี้เชื่อฟัง และ รอรับสัญญาณทางการเมืองมาโดยตลอด
จะเหลือก็แต่ นักวิชาการ และ นักคิด ที่เคลื่อนไหวในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งชี้ให้เห็นการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เป็นธรรม สุ่มเสี่ยงที่การเมืองจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งบทลงโทษก็หนักเกินกว่าการกระทำผิดอาญาอื่น ๆ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ควรจะเป็น
ซึ่งดูเหมือนจะสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความคิดของ ผู้นำกองทัพ ที่มองว่าขณะนี้ไม่มีความจำเป็นในการแก้ไข ม.112 ของประมวลกฎหมายอาญา
“เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละพวกแต่ละฝ่าย แต่ในส่วนของผมซึ่งเป็นฝ่ายความมั่นคงและมีหน้าที่ในการพิทักษ์และปกป้อง ผมก็เฝ้าและติดตามอยู่ เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่อย่าให้เลยเถิดจนมากเกินไป”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
และเมื่อถามว่า บางฝ่ายพยามอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศที่ออกมาระบุให้ไทยปรับปรุงมาตรา112 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยเสียงเข้มว่า “ก็ไปอยู่ต่างประเทศก็แล้วกัน”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันเบื้องสูง และ หลายครั้งที่เขามองว่าถ้าคนไม่ไปก้าวล่วง ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย
หลักคิดของกองทัพ และ การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่วิพากย์สถาบัน การรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ในห้วงเวลานี้ จึงเป็นแนวคิดที่สวนทางกันเกือบสุดขั้ว เพียงแต่วันนี้กองทัพได้พยายามเชื่อมให้การเมืองระดับบน ระงับยับยั้งเงื่อนไขในการขยับตัวของกองทัพจากแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น เพื่อลดอุณหภูมิของบ้านเมืองไม่ให้ไปร้อนแรงไปกว่านี้