- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- โจทย์ใหญ่เมื่อต้องชำระ "ม.112" "ใครฟ้อง-แค่ไหนหมิ่น-ลดโทษ"
โจทย์ใหญ่เมื่อต้องชำระ "ม.112" "ใครฟ้อง-แค่ไหนหมิ่น-ลดโทษ"
มีการประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่จะเร่งให้เกิดการเผชิญหน้าแรงขึ้นในปี “งูใหญ่” 2555 คือ ความเคลื่อนไหวให้แก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบัน หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากสถานการณ์การต่อสู้ที่เข้มข้น และมีการหมิ่นสถาบันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยการลงโทษที่รุนแรง
เปิดดู ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เขียนไว้ว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 -15 ปี
กลุ่มที่ขับเคลื่อน แก้ไขกฎหมาย ส่วนใหญ่มาจากปัญญาชนฝ่ายเสื้อแดง เช่น คณะนิติราษฎร์ กลุ่มซ้ายเก่าและซ้ายใหม่ ล่าสุดคณะนิติราษฎร์ออกเคมเปญรณรงค์ล่าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อเสนอต่อรัฐสภาในต้นปีหน้า
ข้อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่น อยู่ในบรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองในห้วงที่มีการปะทะความคิดกันรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ขอแก้กฎหมายนี้จะถูกโจมตีจากข้อกล่าวหาและวาทกรรม “ล้มเจ้า- รักเจ้า- ปกป้องเจ้า” ทั้งซ้ายสุดและขวาสุดจนจะทำให้สังคมแบ่งขั้วเลือกข้างไม่สิ้นสุด
“สมชาย หอมลออ” กรรมการปฏิรูปกฎหมาย และ กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือคอป. แสดงทัศนะว่า เห็นด้วยให้แก้มาตรา112 โดยให้กลับไปใช้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนกฎหมายนี้ในปี 2519 ซึ่งในปีนั้น มาตรา 112 ถูกเปลี่ยนโดย รัฐบาลเผด็จการหลังจากคณะปฏิรูปยึดอำนาจ ฆ่านักศึกษาและประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จากโทษขั้นต่ำที่ไม่มี เป็นกำหนดโทษขั้นต่ำ 3 ปี เพิ่มโทษขั้นสูงเป็น 15 ปี ผลก็คือ คดีใดที่ศาลไม่สามารถลงโทษคดีหมิ่นในสถานเบาทั้งที่เห็นว่าผู้ที่หมิ่นเป็นคนที่อาจจะประสีประสาไม่รู้เรื่อง เพราะโทษขั้นต่ำถูกกำหนดไว้ ดังนั้น ถ้าเห็นว่า ยังไม่เป็นธรรมหรือ เป็นอุปสรรคต่อศาลที่จะให้ความยุติธรรมต่อผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ได้ โทษขั้นต่ำ 3 ปี ก็อาจไม่ให้มีโทษขั้นต่ำแต่ให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ เพราะการกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ใช้คำนี้กัน มันกว้างขวางมาก บางทีเป็นการกระทำเล็กน้อย
“ถ้าจะแก้ก็แก้เรื่องโทษเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจได้ตามที่เหมาะกับสถานการณ์กับความผิด เพราะคดีนี้มันไม่เหมือนกับการฆ่าคนตาย นี่มันชัดเจน แต่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพบางคนก็ตีความถึงขั้นที่ว่า ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ต่อไปก็อาจตีความว่าไม่ยืนเคารพธงชาติ เพราะธงชาตินั้นมีชาติ ศาสน์ กษัตริย์อยู่ คือ มันมีการกระทำอะไรหลายอย่างที่มันอาจจะหมิ่นเหม่เข้าข่ายอันนี้ได้”
สมชาย กล่าวว่า สิ่งที่ควรศึกษาเพื่อสอดรับกับข้อเสนอขณะนี้ คือ ขอบเขตที่ว่า แค่ไหนหมิ่นหรือไม่หมิ่น เพื่อให้เห็นชัดขึ้นว่า แค่ไหนทำได้ทำไม่ได้ นอกจากนั้นการที่ศาลจะต้องวินิฉัยวางบรรทัดฐานไปว่า อันไหนถือว่า หมิ่น ยกตัวอย่างเช่น คดีหมิ่นของวีระ มุสิกพงษ์ในอดีตที่พูดในเรื่องที่เป็นคำกล่าวอ้างโดยทั่วไปหรือเรียกว่า “ภาษายี่เก” แต่ว่ามันมีการเมืองฝ่ายที่เป็นศัตรู หยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือห้ำหั่นอีกฝ่ายอย่างที่เกิดขึ้นมาตลอด ดังนั้น ทำอย่างไรที่เราจะป้องกันการใช้มาตรา 112 ไม่ให้นำมาใช้ห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจะทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
กรรมการปฏิรูปกฎหมายผู้นี้ กล่าวว่า ถ้าเราปล่อยให้มาตรา 112 ไปเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็อาจเกิดผลเสียหลายอย่าง ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงมาตรานี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในทางการเมืองเท่ากับป้องกันไม่ให้มีการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในทางการเมือง ถ้าไม่กำหนดโทษขั้นต่ำเพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินคดีได้ ก็จะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เอง ผลดีต่อความปรองดองเองและ ผลดีต่อประชาธิปไตย
นอกจากนั้นพนักงานอัยการก็จะต้องใช้อำนาจมากขึ้นในการที่จะวินิจฉัยสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ศาลก็ต้องวางแนวหรือบรรทัดฐานให้ชัดเจน ไม่ใช่ทุกเรื่องถือว่าหมิ่นหมด เช่น การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์หรือวิจารณ์ในกรอบการแสดงความเห็นตามสิทธิ์ในประชาธิปไตยก็ไม่ควรถูกมองว่า เป็นการหมิ่นสถาบัน แต่ถ้าการโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย ข้อมูลเป็นเท็จเพื่อให้เกิดการเกลียดชัง อันนี้ก็เป็นอีกประเด็น
อย่างไรก็ตาม สมชาย เห็นว่า ไม่ควรยกเลิกมาตรานี้เพราะประมุขของทุกประเทศต้องมีกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองธรรมดา ข้อเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 ไปทันทีที่เกิดขึ้น อาจเป็นไปเพื่อต่อรองต้องการที่จะแก้ไข แต่ต้องเสนอให้สุดโต่งไว้
เมื่อถามว่า เหตุใดคดีหมิ่นสถาบันถึงเกิดขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมชาย ตอบว่า ก็เพราะมีความขัดแย้งของนักการเมืองมากขึ้น ทุกฝ่ายจึงหยิบฉวยเอามาตรา 112 ไปใช้โจมตีอีกฝ่ายเพราะความขัดแย้งนักการเมืองมันเล่นกันไม่มีกฎเกณฑ์แล้ว
“ถ้าเราจำได้ในหลวงเคยมีพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ทำไมต้องมาอ้างพระมหากษัตริย์เพื่อที่จะไปลงโทษไปดำเนินคดีกับประชาชน ซึ่งเป็นประชาชนของพระองค์ ทำให้พระองค์ไม่สบายพระหทัย คำพระราชดำรัสค่อนข้างชัดเจนแต่ว่า คนก็ไม่ได้ใส่ใจ”
สำหรับรายงานของ คอป.ที่ได้เผยแพร่ ในช่วงเดือนกค. 2554 ตามที่สมชายอ้างถึง ตอนหนึ่งได้เสนอถึงการแก้กฎหมายหมิ่นว่า “ความกังวลต่อสถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนส่งผลกระทบในทางการเมือง และกลายเป็นประเด็นที่สหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และนานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คอป.จึงเสนอให้รัฐบาลต้องดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับคดีหมิ่นฯ มีความเป็นเอกภาพและดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีกลไกที่สามารถกำหนดนโยบายในทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะของคดีโดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนา แรงจูงใจในการกระทำ สถานภาพของบุคคลที่กระทำ และบริบทโดยรวมของสถานการณ์
ด้าน รศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาธรรมศาสตร์ เห็นว่า กลุ่มที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 มีหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มซ้ายสุด แต่เป็นกลุ่มเล็กๆ มีเจตนาที่อาจไม่ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ต่อไป รวมทั้งมีกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้มีพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เหมือนในต่างประเทศ คือ ต้องการให้พระองค์มีพระราชอำนาจน้อยลงมากๆ เป็นแค่ตรายาง ฉะนั้นการเคลื่อนไหวมาตรา 112 จึงเป็นการเคลื่อนไหวของคนหลายกลุ่มาก แต่โดยกลุ่มที่ไม่ต้องการเอาสถาบันมีไม่มาก แต่อาจมีเสียงดัง แล้วรู้จักใช้สื่อ ทำให้เมื่อกลุ่มเหล่านี้ออกมาก็มีกลุ่มต่อต้านตามมาคัดค้าน
นครินทร์ กล่าวว่า เหตุที่มีการฟ้องร้องคดีหมิ่นกันมากในช่วงหลัง ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า คนเหล่านั้นเช่น กรณี “ดา ตอร์ปิโด” ที่ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเวลา 15ปี มีพฤติกรรมที่ตั้งใจวิจารณ์สถาบันอย่างเสียหาย แต่ถามว่า การลงโทษรุนแรงหรือไม่ อันนี้ควรเป็นเรื่องที่น่าพูดกัน
อย่างไรก็ตามนครินทร์เห็นว่า มาตรา112 ควรมีอยู่ในสังคมไทย ถ้ายกเลิก ก็ต้องมีกฎหมายอื่นเข้ามาแทนที่หรือเทียบเคียงได้ในการปกป้องประมุขของรัฐ เพราะพระองค์ท่านไม่สามารถพูดโต้ตอบหรือชี้แจงเรื่องต่างๆได้ด้วยตัวเอง แต่การมีกฎหมายมาตรานี้ควรแก้เรื่องบทลงโทษ เพราะการลงโทษบางเรื่องอาจรุนแรงไป ปัญหาคือ กฎหมายเหล่านี้ควรจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยที่ “คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย” ที่เพิ่งตั้งขึ้น ควรใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้
สำหรับ ข้อเสนอจากปัญญาชนฝ่ายแดงที่เสนอแก้มาตรา 112 โดยให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้องร้องเองแทนอัยการ นครินทร์เห็นว่า ประมุขของรัฐถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำรวจ อัยการ ต้องเป็นคนฟ้อง ส่วนสำนักพระราชวัง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่เรื่องความมั่นคง ถ้าให้สำนักพระราชวังทำหน้าที่ฟ้องก็จะเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง กลุ่มคนต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่ว่า กระบวนการในการฟ้องร้องชั้นต้นอยู่ที่ตำรวจ อัยการ และกระบวนการสุดท้ายอยู่ที่ศาล ซึ่งบางเรื่องต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นครินทร์ เชื่อว่า การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ จะต้องจบที่การแก้ไขกฎหมายซึ่งผ่านกระบวนการรัฐสภาเท่านั้น เริ่มจากการยกร่างกฎหมายจากวิปรัฐบาล และเข้าครม.หรือไม่ก็เข้าพรรคการเมือง และ เข้าสภา สภาก็บรรจุรับหลักการเป็นวาระที่1 แปรญัตติ ต่อด้วยวาระ 2-3 แต่พรรคเพื่อไทยคงไม่แก้กฎหมายหมิ่นแน่ เพราะกลัวจะถูกวิจารณ์
“ผมอยากให้ใจเย็นๆกัน คิดว่า การเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็เป็นธรรมชาติเพราะโดยความคิดทางงการเมือง หรือ ผลประโยชน์บางอย่างที่ขัดแย้ง ก็ควรให้คนเคลื่อนไหวไป แต่การเคลื่อนไหวอย่างนี้ก็เป็นข้อเรียกร้องอย่างหนึ่ง ปัญหาคือ การแก้กฎหมายต้องเริ่มจากรัฐสภา ซึ่งเสียงจากกลุ่มพลังต่างๆ มีมากก็จริง แต่ความจริงประเทศไทยมีกฎหมายเก่าที่ล้าสมัยจำนวนมาก และต้องปรับปรุงเร่งด่วนให้แหมาะกับสถานกาณณ์ เช่น กฎหมายกำนันผู้ใหญ่บ้าน บ่อนเสรี กฎหมายยาเสพติด ที่ดิน ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากมาบตาพุด โสเภณี การให้ชายหญิงเท่าเทียมกัน หรือ กฎหมายเรื่องเด็ก ปัญหาเรื่องพระ ปัญหาที่ดินสาธารณะที่ใหญ่โตมานาน 20-30 ปีแล้ว ปัญหาเรื่องคนจนดังมามาก ปัญหาเรื่องน้ำดังมานานกว่า แต่รัฐสภาไทยก็นิ่งเฉยไม่เคยบรรจุเรื่องนี้เป็นกฎหมายในสภา”
นครินทร์ กล่าวว่า ว่า รธน. 2550 ได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายขึ้นมา มี คณิต ณ นครเป็นประธาน ก็เพื่อให้สะสางกฎหมายที่ล้าหลังให้เหมาะสมกับยุคสมัย หรือ อาจเสนอให้มีการยกร่างกฎหมาย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีเวลาคิด ขณะที่รัฐสภาก็ไม่มี คณะกรรมาธิการที่เปิดหูเปิดตาฟังปัญหาของสังคม และรับปัญหาเหล่านั้นมาศึกษาทำร่างกฎหมาย
“ตอนนี้เราอยู่รอยต่อระหว่างสังคมเก่ากับสังคมใหม่ สังคมเก่ามีหลายเรื่องต้องถูกยกเลิกไปหรือเสื่อมคลายไป แล้วสังคมใหม่เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เช่น เรื่องที่ดินสาธารณะ ปัญหาเรื่องวัดวาอารามซึ่งเป็นของเก่า แต่ปัจจุบันเราต้องทำกฎหมายใหม่เกี่ยวกับเรื่องวัดด้วย ทั้งที่วัดซึ่งบางแห่งเอาไปทำเป็นอาบอบนวด” นครินทร์ กล่าวทิ้งท้าย