- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- "ที่ดิน-น้ำท่วม-ภัยแล้ง" การบ้านเรื่องเดียวกันรัฐบาลปู
"ที่ดิน-น้ำท่วม-ภัยแล้ง" การบ้านเรื่องเดียวกันรัฐบาลปู
การปฏิรูปที่ดินถือเป็นนโยบายหนึ่งที่นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยประกาศระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่า จะขับเคลื่อนต่อ และช่วงตั้งรัฐบาลใหม่ๆ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็มีความจริงใจในการรับลูกจากภาคประชาชน
โดยเฉพาะบทบาทของนายปลอดประสพ สุรัสวดี แกนนำคนสำคัญของรัฐบาลที่เปิดห้องประชุมที่อาคารรัฐสภาเพื่อให้ตัวแทนจากสมัชชาคนจน รวมถึงเครือข่ายปฏิรูปที่ดินและตัวแทนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการต่างๆ ของรัฐ อาทิ กลุ่มผู้ต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้านครศรีธรรมราช เป็นต้น เข้าพบเพื่อนำเสนอประเด็นที่ต้องการให้รัฐบาลสะสางและสานต่อ
ยังไม่ทันที่จะขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆ รัฐบาลกลับต้องประสบเหตุจากมหาอุทกภัยที่ไหลบ่ามาพร้อมกับการถูกลดทอนความเชื่อมั่น นโยบายสำคัญๆ ที่รออยู่จึงชะงักตามไปด้วย โดยเฉพาะการปฏิรูปที่ดินเพื่อการทำกิน
ประเด็นนี้ ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปและอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและน้ำ เสนอว่า ระหว่างที่รัฐบาลเดินหน้าเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงการหามาตรการป้องกันน้ำท่วม อยากเสนอให้รัฐบาลและกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้นำแนวคิดการปฏิรูปที่ดินเข้าไปด้วย เพราะการวางมาตรการป้องกันน้ำท่วมต้องทำเป็นองค์รวม ไม่สามารถออกแบบมาเพื่อการจัดการพื้นที่เฉพาะพื้นที่ลุ่มภาคกลางได้ ดังนั้นจึงเสนอให้จัดสรรที่ดินเพื่อให้ประชาชนเพียงพอกับการทำกินและจัดที่ดินไว้สำหรับเป็นแก้มลิงเพื่อให้เกิดการบริหารน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดมหาอุทกภัยอีกครั้งต้องยกเครื่องเรื่องที่ดินกันใหม่ทั้งประเทศ โดยเฉพาะการขุดลอกคูคลอง การสร้างแหล่งน้ำแห่งใหม่ การจัดสรรที่สำหรับเป็นแก้มลิง การจัดสรรที่ดินให้สำหรับผู้ที่รุกล้ำแม่น้ำคูคลองเพื่อปลูกสร้างบ้านเรือนที่ขวางทางน้ำ”อดีตกรรมการปฏิรูป กล่าว และว่า โดยเฉพาะการหาพื้นที่ที่เป็นแก้มลิง ไม่ควรใช้เฉพาะพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา หรือลพบุรีที่เป็นลุ่มน้ำภาคกลางเท่านั้น แต่ควรหาแก้มลิงในทุกพื้นที่
เขายังบอกอีกว่า การวางมาตรการป้องกันน้ำท่วมนั้นควรผนวกการแก้ไขปัญหาภัยแล้งรวมไปด้วย เพราะถือเป็นปัจจัยที่เกี่ยวเนี่องกัน โดยควรมองถึงการจัดหาแหล่งน้ำแห่งใหม่ที่ไม่ใช่การสร้างเขื่อน แต่หมายรวมถึงการจัดสรรพื้นที่เพื่อการปลูกป่าและทำให้คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้เพื่อให้เป็นแนวทางการอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน ส่วนการจัดสรรที่ดินในเมืองในกรณีที่ประชาชนรุกคูคลองเพื่อปลูกสร้างบ้านเรือนนั้น รัฐควรจัดกระบวนการเพื่อรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้พวกเขามีที่ดินแห่งใหม่และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ทั้งนี้ต้องมองถึงเรื่องความเป็นธรรมในการจัดสรรและการจัดการที่ดินด้วย
“ถ้ารัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปที่ดินจะสามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ ทั้งแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมได้คราวเดียวกัน และเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนไม่แพ้นโยบายเมกกะโปรเจกส์ต่างๆ แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจกับเรื่องนี้น้อยเกินไป”ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว
กรรมการปฏิรูปรายนี้ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เข้าใจว่า สาเหตุที่รัฐบาลดำเนินนโยบายนี้อย่างล่าช้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่กล้าแตะต้องการถือครองที่ดิน เพราะนักการเมืองที่มีกว่า 500 คน รวมถึงข้าราชการและนายทุน ถือครองที่ดินรวมกันถึง 20-30 ล้านไร่ โดยเฉพาะนักการเมืองที่ถือครองที่ดินเฉลี่ยถึงคนละ 400 ไร่ ที่เกรงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องอาจไม่กล้าดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ เพราะหากจัดการจัดการเรื่องนี้รัฐบาลอาจจะเสียฐานทางการเมืองได้
“หากเป็นเช่นนั้นก็อยากจะเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า รัฐบาลไม่ควรเกรงกลัวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ควรยืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยเหล่านั้น ถ้ามีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างที่เคยประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง ควรหยิบยกเรื่องการปฏิรูปที่ดินให้เป็นรูปธรรม เพราะขณะนี้ปัญหาการจัดการเรื่องอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ดังนั้นหลังปีใหม่นายกฯ ควรต้องตัดสินใจเร่งดำเนินนโยบายอื่นๆ ที่รัฐเคยรับปากกับประชาชนไว้ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง”อดีตกรรมการปฏิรูป กล่าว
เขาบอกอีกว่า สำหรับข้อเสนอเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกินที่กรรมการปฏิรูปเคยเสนอให้มีการกระจายการถือครองที่ดินทั้ง 5 ข้อ คือ 1.การให้เปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดินเพื่อให้รู้ว่ามีการกระจุกตัวที่ไหนบ้าง 2.การวางแผนเรื่องการใช้ที่ดินและคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม 3.การจำกัดเพดานการถือครองที่ดินถ้าเกิน 50 ไร่ ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้าเกินร้อยละ 5
ส่วนข้อ คือ 4.การเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในอัตราที่สูงคือ น้อยกว่า 10 ไร่ ร้อยละ 0.03 ที่ดิน 10-50 ไร่ร้อยละ 0.1 หากเกิน 50 ไร่ร้อยละ 5 และ 5.การตั้งกองทุนธนาคารที่ดินนั้น รัฐบาลสามารถนำไปพิจารณาและปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมได้
ทั้งนี้เขายังบอกอีกว่า ต้องการให้รัฐบาลนำไปพิจารณาก่อน เพราะข้อเสนอทั้ง 5 ข้อนั้น อดีตคณะกรรมการปฏิรูปนำเสนอเพื่อให้สังคมถกเถียงเพื่อเป็นการระดมความเห็นอีกทางหนึ่ง ซึ่งตนเห็นว่า การปฏิบัติจริงอาจปรับรูปแบบเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยเฉพาะประเด็นการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินเกิน 50 ไร่ต้องเสียภาษีก้าวหน้านั้น อาจต้องพิจารณาเป็นรายพื้นที่ เนื่องจากการประเมินราคาที่ดินในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน เช่น ที่ดินในจังหวัดพังงา ภูเก็ต ย่อมมีราคาสูงกว่าที่ดินที่ทุ่งกุลาร้องไห้ หรือพื้นที่ทุรกันดารอื่น
“การปฏิรูปที่ดินควรคำนึงถึงความเป็นจริง เป็นธรรม และเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะตอนนื้ที่ดินเกิดการกระจุกตัวและมีการซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไร เราควรตัดวงจรเหล่านี้และจัดสรรที่ดินเพื่อให้ประชาชนได้ทำกิน เพื่อให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ รวมทั้งหามาตรการป้องกันไม่ให้ที่ดินของคนจนหลุดมือ จนเกิดภาวะไร้ที่ดินซ้ำซ้อน
นอกจากนี้การเปิดเผยข้อมูลการครอบครองที่ดินให้สาธารณะได้รับทราบก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ ดร.เพิ่มศักดิ์และกรรมการปฏิรูปรายอื่นนำเสนอ เพราะจะทำให้ทราบข้อมูลที่เป็นจริงว่า ใครครอบครองที่ดินไว้บ้าง เรื่องนี้หน่วยงานราชการสามารถดำเนินการได้ ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแต่อย่างใด
ทั้งนี้เขาเสนอให้รัฐบาลควรเร่งปฏิรูปที่ดินก่อนปี 2558 ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียน เพื่อเป็นการคุ้มครองอาชีพและที่ดินสำหรับการทำกินให้กับประชาชน หากไม่รีบดำเนินการอาจจะเป็นเรื่องที่สายเกินไป
“ถ้ารัฐบาลต้องการคำปรึกษาเรื่องการปฏิรูปที่ดินและเรื่องอื่นๆ ที่คณะกรรมการปฏิรูปเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ผมเชื่อว่า อดีตกรรมการปฏิรูปรายอื่นๆ รวมทั้งผมพร้อมจะให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำ เพราะทุกคนอยากเห็นบ้านเมืองมีความปกติสุขและลดความเหลื่อมล้ำลงได้ ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้ไม่ควรประวิงเวลาหรือเล่นการเมืองเพื่อให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า แต่ควรรีบแสดงความจริงใจด้วยการรับลูกจากและรับข้อเสนอของอดีตกรรมการปฏิรูปไปพิจารณา”ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวและว่า ขณะนี้สำนักงานปฏิรูปก็พยายามสานภารกิจของกรรมการปฎิรูปที่เคยเสนอไว้ไปยังรัฐบาลอีกรอบเพื่อให้เกิดการปฏิบัติจริงขึ้น
ขณะที่นายเหมราช ลบหนองบัว แกนนำเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า หลังเลือกตั้งภาคประชาชนมีความหวังกับรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับตัวแทนของชาวบ้าน ด้วยการรับไมตรีจากพวกเราด้วยการรับข้อเสนอและข้อเรียกร้องในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ค้างคาจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญจึงทำให้การแก้ไขปัญหาชะงัก
“ตอนนี้เริ่มเห็นว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนที่เดือดร้อนน้อยเกินไป โดยเฉพาะการมอบภาระที่เป็นเรื่องใหญ่ให้ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีความรู้เรื่องการปฏิรูปที่ดินและการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นผู้ดูแล จึงทำให้ชาวบ้านไม่มีความมั่นใจต่อการแก้ไขปัญหา”แกนนำเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กล่าว
ทั้งนี้เขายังคงให้โอกาสกับรัฐบาลชุดนี้ โดยบอกว่า จากที่ได้พูดคุยกับแกนนำเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ในหลายพื้นที่ก็ได้ข้อสรุปว่า ในช่วงต้นปี 2555 เราจะติดตามการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างใกล้ชิดและอาจจะขอเข้าพบกับตัวแทนของรัฐบาลอีกครั้ง ถ้ารัฐบาลจริงใจก็อาจจะได้รับความร่วมมือ
นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลต่อการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินของประชาชนในพื้นที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมาที่อาจจะส่งผลกระเพื่อมไปยังการจัดสรรและการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่อื่นๆ โดยเกรงว่า ตัวแทนของรัฐจะไม่พิจารณาปัญหาการครองที่ดินอย่างองค์รวม เพราะเท่าที่ทราบการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐระบุว่า การเข้ายึดคืนพื้นที่ทั้งประชาชนและเอกชนนั้นเป็นผลสิ้นสุดทางกฎหมาย แต่การครอบครองที่ดินในบางแปลงหรือบางพื้นที่ การยึดกฎหมายอย่างเดียวโดยไม่ได้มองความเป็นจริงอาจสร้างความอยุติธรรมขึ้นได้
“บางกรณีประชาชนอาจจะอยู่และทำกินก่อนจะมีการประกาศให้พื้นที่นั้นๆ เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แม้ผมจะเห็นด้วยกับการยึดคืนที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เราก็ควรให้ความเป็นธรรมในกรณีที่ประชาชนครอบครองอยู่ก่อนการประกาศออกมาเป็นกฎหมาย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการเรื่องนี้อย่างไม่รอบคอบอาจสร้างปัญหาในระยะยาวได้ เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจยึดกรณีนี้เป็นตัวอย่างเพื่อปฏิบัติกับคนอีกหลายพื้นที่”นายเหมราช กล่าว
ทั้งนี้พวกเขาได้แต่หวังว่า “รัฐบาลปู” จะรีบแสดงความจริงใจด้วยการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปสังคม ลดความเหลื่อมล้ำให้เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้สำหรับคนไทยอย่างที่เคยประกาศไว้ทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง