- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ชดเชยอย่างไรให้"แก้มลิง"ยิ้มรับ
ชดเชยอย่างไรให้"แก้มลิง"ยิ้มรับ
แม้รัฐบาลจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่า จะใช้พื้นที่ใดเป็นแหล่งรับน้ำนองหรือพื้นที่แก้มลิง ทว่าข้อมูลที่แพร่งพรายออกมาทางหน้าสื่อก็ทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่ถูกพาดพิงถึงกับอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลนั้นถูกระบุว่า เป็นแนวทางที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นซ้ำในปีนี้
พื้นที่ที่อาจจะถูกใช้เป็นพื้นที่แก้มลิงตามแผนของ กยน.ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่เขตเจ้าพระยาตอนบนจะมีแก้มลิงขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ บึงบอระเพ็ด-ชุมแสง, ชุมแสง-เก้าเลี้ยว-อำเภอเมืองนครสวรรค์, ตะพานหิน-บางมูลนาก-โพทะเล, อำเภอเมืองพิจิตร-อำเภอโพธิ์ประทับช้าง และอำเภอบางกระทุ่ม
ส่วนเขตเจ้าพระยาตอนล่างมีแก้มลิงอีก 5 แห่ง คือ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีพื้นที่อำเภอบางบาล 1-ป่าโมก-ผักไห่, ผักไห่-บางยี่หน, บางบาล 2 ดอนพุด-มหาราช, ภูเขาทอง-บางปะหัน, ส่วนจังหวัดอ่างทองมีพื้นที่อำเภอ ไชโย-บ้านแพรก และอ่างทองฝั่งตะวันตก
ถือเป็น 10 พื้นที่ที่คาดว่า จะต้องเสียสละให้เป็นพื้นที่สำหรับทำแก้มลิงเพื่อบรรเทาอุทกภัย “ประเทือง แถบทอง” กำนันตำบลสายทอง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง บอกว่า ตอนนี้คนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับความชัดเจนจากรัฐบาลว่า หากต้องเสียสละให้ใช้พื้นที่แล้ว พวกเขาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร โดยเฉพาะช่วงนี้อยู่ในฤดูเพาะปลูก
“ถ้ามีการตกลงกันอย่างแน่ชัดว่า ปีนี้น้ำจะมากเหมือนปีที่แล้ว รัฐบาลต้องเร่งให้หน่วยงานภาครัฐเรียกประชุมผู้นำชุมชนเพื่อขอความร่วมมือให้ประชาสัมพันธ์กับชาวบ้าน พร้อมกับวางมาตรการร่วมกันว่า เราจะอยู่อย่างไรกับน้ำท่วม เช่น รัฐบาลควรบอกว่า จะให้ทำนาตั้งแต่เดือนไหนและหยุดเดือนไหน จะใช้เป็นพื้นที่รับน้ำช่วงไหน ตอนนี้ไม่มีใครบอก ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงปลูกข้าวเต็มพื้นที่และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวประมาณเดือนพฤษภาคม ถ้าบอกในช่วงที่น้ำจะมาถึงพื้นที่เหมือนปีที่แล้ว พวกเราก็เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ทันและอาจทำให้ชาวนาหลายพันชีวิตต้องสิ้นเนื้อประดาตัวอีก เพราะจากเหตุการณ์ปีที่แล้ว หลายครอบครัวต้องหมดตัวไปกับน้ำท่วม”กำนันตำบลสายทอง กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า ตามปกติชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดอ่างทองจะทำนา 2-3 ครั้งต่อปี แต่ระยะหลังทำแค่ 2 ครั้งต่อปี คือ นาปรังเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และนาปีเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ดังนั้นจึงมีช่วงเวลาที่หยุดทำนา คือ ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม แต่ในช่วงเดือนที่หยุดดังกล่าว หากน้ำในระบบชลประทานเพียงพอสำหรับการทำนา ชาวนาส่วนใหญ่ก็จะทำนาปรังอีกรอบ
“ถ้ารัฐบาลจะใช้พื้นที่เป็นแหล่งรับน้ำก็ควรบอกให้ประชาชนทราบเพื่อที่จะไม่ต้องทำนาในช่วงเวลานั้น แต่ช่วงเวลาที่รัฐบาลใช้พื้นที่จะต้องมีอาชีพเสริมให้ชาวบ้าน เช่น เย็บจักร จักรสาน เป็นต้น อีกทั้งต้องมีค่าชดเชยในคุ้มค่า โดยเฉพาะในกรณีที่พืชเกษตรได้รับความสียหาย แต่ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรตกลงกับชาวบ้านก่อนจะใช้พื้นที่ คงไม่มีใครอยากให้พืชเกษตรเสียหายเพื่อขอรับค่าชดเชย เพราะคงไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่เสียไป”กำนันประเทือง กล่าว
ส่วนพื้นที่จังหวัดลพบุรีถือเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ถูกหมางปองจะให้เป็นแก้มลิงสำหรับรับน้ำนอง และเช่นเดียวกันคนในพื้นที่ยังคงไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนจากภาครัฐว่า จะเอาอย่างไร โดย “ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์วิทย์ ทองดี กำนันตำบลพุคา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี” เล่าว่า คนพื้นที่เกิดความกลัวว่า หากเสียสละให้ที่นาและที่อยู่อาศัยถูกน้ำท่วม รัฐจะทอดทิ้งเหมือนปีที่แล้ว
“ถ้าไม่มีความชัดเจนก็จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ สร้างคันกั้นน้ำเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้าพื้นที่ เพราะทุกคนต้องรักษาพื้นที่ของตัวเอง ถ้ามีการตกลงกันตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ก็จะทำให้ทุกคนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า จะต้องเป็นพื้นที่รองรับน้ำ ดังนั้นรัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นโดยเฉพาะความเชื่อมั่นทางอาหารและอาชีพ ซึ่งต้องคุยกันให้ชัดเจนในเรื่องอาชีพระหว่างน้ำท่วม เพราะพวกเราไม่ต้องการรอถุงยังชีพจากรัฐบาลเสมอไป แต่อยากอยู่ได้ด้วยตัวเอง รัฐควรส่งเสริมเรื่องนี้”กำนันณรงค์วิทย์ กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้คงต้องตกลงกันถึงเรื่องค่าชดเชยความเสียหายของพืชผล หากเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน เพราะการกำหนดราคาค่าชดเชย 2,222 ต่อไร่ คงไม่ใช่ราคาที่เกษตรกรสามารถคืนทุนได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่อไร่ประมาณ 3,500 บาท
“รัฐบาลควรตกลงร่วมกับเกษตรกรเพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง อีกทั้งควรมีค่าชดเชยสำหรับช่วงเวลาเสียโอกาสที่ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินด้วย เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอาชีพอื่นและไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หากไม่ได้ทำประโยชน์ในที่ดิน”เขากล่าวแนะนำ
ส่วนพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี แม้ กยน.จะไม่เลือกให้เป็นพื้นที่รับน้ำ ทว่าชาวบ้านก็มีความตื่นตัวพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายวิทยา บูรณะศิริ รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์กล่าวพาดพิงให้พื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีเสนอตัวเป็นพื้นที่รับน้ำ ยิ่งทำให้ชาวบ้านต้องระดมสมองเพื่อแสดงวิศัยทัศน์ชุมชนเพื่อส่งถึงรัฐบาล โดย “ว่าที่ ร.ต.พิจิตร ปัญญาพิชิต” ประธานประชาคมจังหวัดสิงห์บุรี บอกว่า ชาวบ้านในพื้นที่ค่อนข้างตื่นตัวกับข่าวสาร เนื่องจากเกรงว่า น้ำจะกลับมาท่วมเหมือนปีที่แล้ว เราจึงจัดประชุมเพื่อระดมสมองและหาทางออก เพราะพื้นที่สิงห์บุรีถือเป็นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม้รัฐบาลไม่ประกาศให้เป็นพื้นที่รับน้ำ แต่น้ำก็ต้องไหลผ่านอยู่แล้ว
“เราอยากให้รัฐบาลจัดเวทีประชาพิจารณ์เพื่อทำประชาคมกับชาวบ้านแต่ละพื้นที่ก่อนว่า รัฐบาลมีแนวทางอย่างไรและชาวบ้านต้องทำอย่างไร คงไม่มีใครอยากเสียสละให้น้ำเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัย เพราะค่าชดเชยที่ได้รับหลังน้ำลดไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้น ยิ่งตอนนี้หลายครอบครัวต้องหมดเนื้อหมดตัวจนต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำนาและซ่อมแซมบ้าน รวมทั้งดีดบ้านให้สูงเพื่อหนีน้ำ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้ว การให้เสียสละเป็นแก้มลิงคงไม่มีใครอยากเป็น”ประธานประชาคมจังหวัดสิงห์บุรี กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นให้คนริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาว่า หากจะต้องรับน้ำนองเราจะอยู่สร้างอย่างไร โดยต้องรีบเตรียมการและรีบบริหารจัดการ เพราะในไม่ช้าน้ำก็จะมา ซึ่งรัฐบาลต้องใช้มาตรฐานเดียวกับที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ที่ให้งบประมาณในการยกคันดิน สร้างพนังกั้นน้ำ ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวต่างชาติ รัฐบาลกลับดูแลดี ตรงกันข้ามกลับจะให้ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของประเทศเสียสละด้วยการถูกน้ำท่วม
“รัฐบาลมองแต่ผลได้ทางเศรษฐกิจ ไม่มองความรู้สึกของชาวบ้านในพื้นที่และเป็นเจ้าของประเทศมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จึงมีแต่นโยบายสร้างความเชื่อมั่นกับนักธุรกิจ แต่ไม่เข้าใจวิถีชุมชนคนลุ่มน้ำ หากรัฐบาลจัดการให้ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เชื่อว่าจะสร้างรายได้ให้กับประเทศในระยะยาวได้มากกว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมเสียอีก แต่ตอนนี้รัฐบาลกลับเอาใจแต่นักลงทุน ทั้งที่พวกเขาเอาประโยชน์จากประเทศเรา ผมจึงอยากจะถามรัฐบาลว่า เวลาเดือดร้อนทำไมต้องช่วยเขาก่อน”ว่าที่ ร.ต.พิจิตร กล่าว
เขายังบอกอีกว่า เมื่อเห็นสภาพการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลเป็นเช่นนี้ ในสัปดาห์หน้าชาวลุ่มน้ำกว่า 10 จังหวัด จึงจะร่วมกันทำประชาคมเพื่อกำหนดทิศทางการใช้น้ำร่วมกันในพื้นที่ภาคกลาง ประกอบด้วย ตัวแทนจากจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบรี ปทุมธานี ลพบุรี นนทบุรี นครสวรรค์ และกาญจนบรี เพราะเรามีประสบการณ์จากปีที่แล้วว่า ไม่มีการจัดการน้ำร่วมกันจึงเกิดภาวะการสร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าพื้นที่ ทำให้น้ำรวมกันเป็นก้อนส่งผลให้น้ำมีอิทธิพลทำลายประตูระบายน้ำบางโฉมศรีและประตูระบายน้ำแห่งอื่นๆ
“ก่อนจะเกิดภาวะแบบนั้นอีกรอบพวกเราชาวลุ่มน้ำต้องคุยกันเพื่อจัดการน้ำร่วมกัน” เขากล่าวย้ำ
ขณะที่ รศ.ดร.กัมปนาท ภักดีกุล คณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ(ประเทศไทย) เสนอว่า รัฐบาลควรทำความเข้าใจกับชาวบ้านเพื่อให้เกิดการรวมตัวในรูปแบบสหกรณ์ทุ่งนื้ จากนั้นรัฐบาลควรใช้วิธีการจ่ายค่าเช่าทุ่งน้ำในรูปแบบการเช่าเป็นรายเดือน
“รัฐบาลไม่ควรประกาศพื้นที่รับน้ำก่อนที่จะตกลง เพราะจะทำให้ประชาชนออกมาต่อต้าน เนื่องจากไม่รู้ชะตากรรมว่าจะได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่และจะส่งผลเสียอย่างไร แต่ถ้ารัฐบาลให้ผู้นำชุมชนมาประชุมกันในรูปแบบสหกรณ์ก็จะทำให้ทุกคนได้เสนอว่า ทางออกร่วมกันระหว่างชาวบ้านกับรัฐจะเป็นอย่างไร กระบวนการนี้ควรทำตั้งแต่ยอดน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ หากทำได้ดีก็จะสามารถตัดยอดน้ำและบล็อคน้ำให้อยู่ในทุ่งตามที่ต้องการได้”ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำเสนอแนะ
นักวิชาการผู้ยังบอกอีกว่า การจัดการน้ำควรกำหนดด้วยว่า จะใช้พื้นที่เหล่านั้นรับน้ำด้วยความลึกเท่าใด ให้น้ำอยู่นานกี่เดือน เริ่มจากจุดใดถึงจุดใด เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ของการบริหารน้ำ นอกจากนี้รัฐบาลควรนำข้อมูลของน้ำท่วมปีที่แล้วมาวิเคราะห์ให้ชัดเจนเพื่อให้รู้ว่า พื้นที่ใดควรผันน้ำไปทำแก้มลิง โดยจะต้องนำพื้นที่น้ำแล้งเข้าไปพิจารณาด้วย เพราะควรผันน้ำมาอยู่ในพื้นที่ที่เคยแล้งเพื่อป้องกันภาวะภัยแล้ว ซึ่งกระบวนการเหล่านี้รัฐบาลจะต้องทำสัญญากับชาวบ้านให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความสบายใจและเพื่อให้เกษตรกรสามารถกำหนดเวลาทำการเกษตรได้ชัดเจน
“สิ่งสำคัญมากที่สุดในการบริหารน้ำ คือ การสื่อสารกับประชาชน เพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลสอบไม่ผ่านเรื่องการสื่อสารและประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล แม้แต่ในยามที่ไม่เกิดวิกฤตรัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าจะสื่อสารอย่างไรเพื่อให้ประชาชนเข้ามาร่วมมือ ดังนั้นต้องซักซ้อมการสื่อสารให้ดี มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงมหาอุทกภัยขึ้นอีก”รศ.ดร.กัมปนาท กล่าว
ถือเป็นเสียงสะท้อนที่รอฟังคำตอบจากรัฐบาลว่า จะเดินเครื่องเสนอให้พื้นที่ใดเป็นแหล่งรับน้ำนองหรือพื้นที่แก้มลิง ซึ่งพวกเขาก็ได้แต่หวังว่า คำตอบจากรัฐบาลจะสร้างความเป็นธรรมให้กับคนลุ่มน้ำให้สามารถอยู่กับน้ำอย่างไม่เดือดร้อนนัก