- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิดผลวิจัย ...เสียงเกษตรกร หากต้องสละท้องนา เป็นพื้นที่รับน้ำจริง
เปิดผลวิจัย ...เสียงเกษตรกร หากต้องสละท้องนา เป็นพื้นที่รับน้ำจริง
ท่ามกลางแผนป้องกันน้ำท่วมที่หลายต่อหลายฝ่ายกำลังเร่งหาวิธีบริหารจัดการน้ำอยู่นั้น การกำหนดพื้นที่เป้าหมายสำหรับกักเก็บน้ำ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ถือได้ว่า เป็นนโยบายสำคัญในการชะลอปริมาณน้ำ ที่จะไหลลงมายังกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
ครั้งนี้ รัฐบาลอาจจะต้องเลือกใช้วิธี “เช่าที่นา” บริเวณพื้นที่นาลุ่มต่ำในจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อ่างทอง ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา ในการกักเก็บน้ำบางส่วน
โดยได้มีการคาดกันว่า การชะลอและกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำนี้ จะสามารถรองรับน้ำได้ 2,389 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 14.93 ของปริมาณน้ำท่วมปี 2554 ที่มีปริมาตร 16,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
หมายความว่า... เกษตรกรจะได้รับผลกระทบ ต้องปรับเปลี่ยนระยะเวลาในการปลูกข้าว โดยงดทำนาในช่วงน้ำหลาก
หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ จากที่เคยทำนาปรัง 3 ครั้งต่อปีก็ลดลงเหลือ 2 ครั้งต่อปี และใช้พื้นที่นาว่างดังกล่าว มากักเก็บน้ำ
คำถามสำคัญ คือ แล้วชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติในพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้ จะยินยอมหรือไม่ มีปัจจัยใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อการเข้าร่วมโครงการ “ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำ”
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.กางแผนที่ เจาะจงเลือกอำเภอที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก หรือพื้นที่มีโอกาท่วม จากนั้นจึงส่งทีมวิจัยลงพื้นที่ศึกษา เกษตรกรอำเภอเมือง และอำเภอสามงาม จังหวัดพิจิตร, เกษตรกรอำเภอเมืองและอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์, เกษตรกรอำเภอวิเศษชัยชาญและอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง และเกษตรกรอำเภอบางปะหันและอำเภอบางบาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กว่า 120 คน
ดำเนินการวิจัย โดยใช้แบบจำลองโลจิท (Logit model) หาข้อมูลจากผู้รู้ที่เป็นคนให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย เกษตรกรที่ทำนาปรัง 3 ครั้ง ด้วยวิธีการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus Group Discussiom) ร่วมกับการสัมภาษณ์เดี่ยวแบบเจาะลึก (In-depth Interview)
ผลวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 63 สนใจเข้าร่วมโครงการฯ เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่ที่ทำการศึกษา ปลูกข้าว 3 ครั้งต่อปี คือ ผลิตข้าวรอบที่ 1 ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. รอบที่ 2 ในเดือน พ.ค.-ส.ค. และรอบที่ 3 เดือน ก.ย.-ธ.ค. ซึ่งรอบการผลิตสุดท้ายนั้นตรงกับฤดูน้ำหลาก และเกษตรกรในพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัยอยู่แล้ว
แต่กระนั้นเกษตรกรกลุ่มนี้ ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมด้วยว่า หากจะใช้พื้นที่นาเป็นที่กักเก็บน้ำจริง รัฐบาลต้องให้ความมั่นใจเรื่องของการระบายน้ำ ที่ต้องทำให้ทันต่อฤดูกาลเพาะปลูกในรอบถัดไป รวมทั้งรัฐบาลต้องควบคุมให้ชลประทานดำเนินการจ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาการหยุดส่งน้ำ จนทำให้เกษตรกรต้องเลื่อนการเพาะปลูกออกไป และเผชิญกับความเสี่ยงในการเก็บเกี่ยวข้าวที่อาจไม่ทันน้ำท่วม
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เหลืออีกร้อยละ 37 บอกเหตุผลที่ไม่เข้าร่วมโครงการฯ เนื่องจากเห็นว่า นาบางส่วนของตนอยู่ในพื้นที่ดอนสามารถปลูกข้าวได้ในช่วงน้ำหลากอยู่แล้ว และรายได้จากการขายข้าวก็มีมูลค่ามากกว่าเงินชดเชยที่รัฐบาลกำหนดไว้ ไร่ละ 2,000-3,000 บาท
อีกประการหนึ่ง บางพื้นที่ เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดินในการทำนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทำบ่อเลี้ยงปลาควบคู่ไปด้วย ฉะนั้น เงินชดเชยที่ได้รับ ก็ยังไม่เหมาะสมและไม่คุ้มค่ากับ รายได้ที่ต้องสูญเสียไป
แต่เมื่อผู้วิจัยถามว่า หากรัฐบาลอยากให้เข้าร่วมโครงการนี้จริงๆ เกษตรกรกลุ่มหลังนี้ บอกว่า รัฐบาลควรเพิ่มวงเงินชดเชยและส่งเสริมอาชีพของเกษตรกรในช่วงน้ำท่วม (หลังเกษตรกรยินยอมให้ใช้พื้นที่ทำกิน เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ และน้ำยังคงท่วมพื้นที่ทำกิน เกินระยะเวลาที่ตกลงไว้ร่วมกันแล้ว) และภาครัฐต้องชี้แจงถึงรายละเอียดว่า จะมีหลักประกันอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง นอกเหนือจากการจ่ายเงินชดเชย 2,000-3,000 บาทต่อไร่
สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่า ความพอใจในเงินชดเชย มี "อิทธิพล" มากที่สุดที่จะทำให้เกษตรมีโอกาสเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำ เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้รัฐบาลมีพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำมากขึ้น
ส่วนน้ำปริมาณที่เหลืออีกร้อยละ 85.07 ที่จะไหลลงมายังภาคกลางตอนล่างนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการหามาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ อีก ในการป้องกันอุทกภัยที่กำลังจะมายืนในอนาคตข้างหน้า
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในโครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำ เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวมีดังนี้ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
1. ค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่เกษตรกรมีอิทธิพลมากที่สุดในการเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ การจ่ายค่าชดเชย 2,222 บาทต่อไร่ โดยคิดจากค่าเสียโอกาสของปัจจัยที่ดินเท่านั้นยังไม่เพียงพอ รัฐบาลควรพิจารณาถึงค่าเสียโอกาสแรงงานจากการทำงานในอาชีพอื่นๆ ด้วย 2. ชาวนาส่วนใหญ่จะเช่าพื้นที่ทำนา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ของพื้นที่ทำนาทั้งหมด ดังนั้นรัฐบาลควรมีระเบียบการจ่ายเงินชดเชยที่ชัดเจน ในกรณีที่เช่าที่ดินโดยเงินชดเชยควรตกเป็นของเกษตรกร เนื่องจากภายหลังน้ำท่วม เกษตรกรต้องเป็นผู้รับภาระเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงดินด้วยตัวเอง 3. การประชาสัมพันธ์กับเกษตรกรรายใหญ่เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรเหล่านี้ย่อมมีค่าเสียโอกาสสูง ในการยอมที่จะสละที่ดินเพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำ และแน่นอนว่า การตัดสินใจเข้าร่วมของเกษตรกรรายใหญ่ย่อมเป็นสัญญาณความร่วมมือที่ดี ระหว่างภาครัฐและชาวบ้าน ซึ่งจะมีส่วนโน้มน้าวให้เกษตรกรรายย่อยร่วมมือ ทั้งนี้ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจควรเน้นที่การมีระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่รับน้ำอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือรัฐบาลต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า หากจะใช้นาเป็นพื้นที่รับน้ำจริงรัฐบาลจะสามารถระบายน้ำให้ทันก่อนการเพาะปลูกในรอบต่อไป และมีระบบควบคุมให้ชลประทานจ่ายน้ำได้อย่างเสมอ เนื่องจากเกษตรกรประสบปัญหาการหยุดส่งน้ำของชลประทานในช่วงการผลิต ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการเพาะปลูกออกไป ซึ่งระยะเวลาเก็บเกี่ยวตรงกับช่วงน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย 4. รัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มรายได้ จากอาชีพรองของเกษตรกร โดยการส่งเสริมอาชีพนอกฤดูทำนา โดยพิจารณาจากทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น 5. ในระยะยาวควรสนับสนุนการสร้างศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชน 6. รัฐบาลควรมีมาตรการจ่ายค่าชดเชยของโครงการฯ 2 ส่วน คือ 1) เก็บภาษีจากประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในภาคกลางที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว 2) รัฐบาลสมทบค่าชดเชยส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้มีรายได้น้อย
ข้อเสนอแนะต่อ ธ.ก.ส. 1. ธ.ก.ส. ควรมีนโยบายจูงใจเกษตรกร เพื่อให้ซื้อประกันภัยพืชผลในการทำนาปรังรอบที่ 2 ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกน้ำท่วมผลผลิตในกรณีที่น้ำเหนือมาเร็วทำให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวไม่ทัน 2. ธ.ก.ส. ควรมีนโยบายขยายสินเชื่อสำหรับปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรปลูกข้าว ‘พันธุ์เบา’ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทันก่อนฤดูฝน เพราะข้าวพันธุ์เบามีลักษณะเด่นคือ เป็นพันธุ์อายุสั้น อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 99 วันสำหรับฤดูนาปรัง และ 103 วันสำรับฤดูนาปี อีกทั้งสามารถต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ค่อนข้างดี 3. ธ.ก.ส. ควรมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการทำอาชีพรอง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพรอง ในช่วงเว้นระยะการทำนา อาจรวมไปถึงความช่วยเหลือด้านการตลาดให้แก่เกษตรกรด้วย 4. ธ.ก.ส. ควรมีนโยบายสนับสนุนสินเชื้อเพื่อการฟื้นฟู ปรับปรุงสภาพดิน และซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตรที่เสียหายภายหลังน้ำท่วม |
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
- รูปแบบการจัดระบบการปลูกข้าวปี 2555
http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/public-policy-environment
- โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำ http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/public-policy-environment/item/7192-2012-02-28-04-10-09.html