- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “พลังน้ำใจไทย” ซับน้ำตา คืน “รอยยิ้ม” ฟื้นชีวิต 84 ร.ร.ขนาดเล็ก
“พลังน้ำใจไทย” ซับน้ำตา คืน “รอยยิ้ม” ฟื้นชีวิต 84 ร.ร.ขนาดเล็ก
“น้ำท่วมยิ่งมากเท่าไร น้ำใจไทยยิ่งมากกว่านั้น เราคนไทยไม่เคยทิ้งกัน เราคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน…” หนึ่งท่อนจากบทเพลง “น้ำใจไทย” ของราชาเพลงเพื่อชีวิต แอ๊ด คาราบาว สะท้อนได้ถึงช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ถาโถมหนักเมื่อปลายปี 2554 ซึ่งความสูญเสียได้ช่วยดึงให้ “พลังน้ำใจของคนไทย” มาชะล้างและแปรเปลี่ยนมวลน้ำมหาศาลให้กลายเป็น “รอยยิ้ม”
แม้คราบน้ำตาจะเจือจางลงไปบ้างแล้วตามกระแสน้ำ แต่คราบความเสียหายและร่องรอยความบอบช้ำยังติดฝังอยู่ในหลายพื้นที่…
ทั้ง โรงเรียน บ้านเรือนประชาชน โรงงานอุตสาหกรรม กระทั่งสถานที่ราชการ ทำให้การฟื้นฟู เริ่มต้นขึ้นทั่วทุกหย่อมความเสียหาย เช่นเดียวกับ โครงการ “พลังน้ำใจไทย Power of Thai” ที่ริเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อระดมทุนในการฟื้นฟูด้านการศึกษา มุ่งตรงไปที่โรงเรียน “ขนาดเล็ก” ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งที่ผ่านมา
“พลังน้ำใจไทย” ก่อตัวขึ้นจากพลังของ 12 บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำักัด (มหาชน), บริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน), บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, กลุ่มบริษัททรู คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในเครือเจริญโภคภัณฑ์, บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน), บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), กลุ่มมิตรผล, บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน), บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด, บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และบริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ ที่มีความตั้งใจเดียวกันว่า จะใช้ “พลังน้ำใจ” สานภารกิจ “Bring Smile Back to School คืนรอยยิ้มให้กลับสู่โรงเรียนอีกครั้ง
ภารกิจคืนรอยยิ้มกลับสู่โรงเรียนแรก เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ที่โรงเรียนวัดธรรมิการาม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี โดยผู้บริหารใหญ่ 12 องค์กร ร่วมด้วยพนักงานบริษัทและเหล่าอาสาต่างลงขัน และลงแรงช่วยกันซ่อมแซม ฟื้นฟู อาคาร-สถานที่ ปรังปรุงภูมิทัศน์ มอบโต๊ะ-เก้าอี้และอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยตั้งเป้าให้การฟื้นฟูให้ครบ 84 โรงเรียนภายในต้นปี 2555 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 84 พรรษา
จากเป้าหมาย 84 โรงเรียนขนาดเล็กไล่เรียงฟื้นฟูไปยัง 12 จังหวัดที่ประสบอุทกภัยขนาดหนัก ซึ่งประกอบไปด้วย พระนครศรีอยุธยา 21 แห่ง นนทบุรี 14 แห่ง ลพบุรี 11 แห่ง นครปฐม 11 แห่ง สิงห์บุรี 8 แห่ง ปทุมธานี 6 แห่ง สุพรรณบุรี 4 แห่ง ชัยนาท 4 แห่ง นครสวรรค์ 2 แห่ง พิษณุโลก 1 แห่ง อุทัยธานี 1 แห่ง และอ่างทอง 1 แห่ง
กระทั่ง ภารกิจฟื้นฟูและส่งมอบรอยยิ้มคืนแก่โรงเรียนแห่งสุดท้าย เราจึงได้เห็นบิ๊กบอส จาก 12 องค์กรยักษ์ใหญ่ นำโดย นายชาติศิริ โสภณพานิช บอสใหญ่แบงค์กรุงเทพฯ นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม หรือ "อากู๊" เจ้าของค่ายเพลงดังจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ผู้บริหารบริษัททรูฯ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจฯ นายวิชา พูลวรลักษณ์ บอสใหญ่ค่ายเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ฯ นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการเมืองไทยประกันชีวิต นายวิเชียร เมฆตระการ ซีอีโอเอไอเอส นางวันทนีย์ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร กลุ่มเซ็นทรัล และนายชัยกฤต โตไพรศรี ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ ที่พร้อมใจสละเวลาอันมีค่า มาร่วมทำกิจกรรมส่งท้ายโครงการฯ กันอย่างพร้อมเพรียง
ท่ามกลาง…แสงแดดยามเช้าที่ร้อนระอุของปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ซึ่งยอมถอดสูท มาสวมเสื้อยืด สกรีนโลโก้ "พลังน้ำใจไทย" มือหนึ่งถือขัน มือหนึ่งถือแปรง ลงมือแต่งแต้มสีลงบนพื้นกำแพง โต๊ะเรียนและเครื่องเล่นภายในโรงเรียน พร้อมชักชวนพนักงาน เหล่าอาสาสมัคร และศิลปิน ดารา มาร่วมเปลี่ยนร่องรอยความเสียหายจากภัยน้ำท่วม ทั้งจัดสวนหย่อม ยกร่องแปลงเกษตร รวมไปถึงการส่งมอบหนังสือ อุปกรณ์การเรียนและโต๊ะเรียนให้กับโรงเรียนสามัคคีวิทยา (เชื้อผู้ดีอุปถัมภ์) อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
โรงเรียนแห่งนี้ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลที่ 1 ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนกว่า 300 คน ครู 13 คน และครูอัตราจ้างอีก 11 คน โดยเมื่อปลายปีที่แล้วสถานศึกษาตั้งอยู่บนเนื้อที่เล็กๆ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมหาอุทกภัย ปริมาณน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร และแห้งช้าที่สุดใน อ.ปากเกร็ด
รวมแล้วกินเวลากว่าร้อยวัน นับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ที่น้ำเข้าโอบล้อม จนกระทั่งวันที่ 20 ธันวาคม 2554 ที่น้ำเริ่มลด
นายกิตติศักดิ์ นิยมราษฎร์ ผู้อำนวยการ ร.ร.สามัคคีวิทยาฯ เปิดใจเล่าถึงวันวาน ก่อนภัยพิบัติจะมาเยือนว่า แม้ทางโรงเรียนจะได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว และมีการเตรียมการรับมือไว้ในระดับหนึ่ง แต่ด้วยปริมาณน้ำมีมากเกินกว่าที่เราจะรับมือได้
... ส่งผลให้อาคารเรียนชั้นล่าง โต๊ะ-เก้าอี้ ชั้นหนังสือ รวมถึงห้องสมุดของโรงเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งหากประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขแล้ว คงหลายล้านบาท
ยิ่งเมื่อสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ถนนสายหลักและชุมชนโดยรอบโรงเรียนน้ำเริ่มแห้งแล้ว แต่บริเวณภายในโรงเรียนกลับกลายเป็นพื้นที่ที่ท่วมนานและแห้งช้าที่สุด
ผอ.ร.ร.สามัคคีวิทยาฯ เล่าต่อในขณะที่กำลังจัดแจงน้ำดื่ม และอาหารกลางวันให้พร้อมสำหรับเหล่าอาสากว่าร้อยชีวิต ว่า ในช่วงที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีคำสั่งให้เปิดการเรียนการสอน เพื่อให้ทันต่อกำหนดการเปิดภาคเรียน เขาต้องจัดให้นักเรียนนั่งเรียนกับโต๊ะม้าหิน
"เด็กๆ ไม่มีโต๊ะกินข้าว ห้องพยาบาลก็ไม่มีเตียงให้นอน โรงเรียนไม่มีน้ำใช้ เนื่องจากระบบน้ำบาดาลและน้ำประปาพังเสียหายหมด หากเด็กๆ เปิดน้ำจากก๊อก จะพบว่า น้ำมีสีแดง มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานครบสูตรเลยทีเดียว" ครูกิตติศักดิ์ เล่าไป พลางหัวเราะไป ...
"ในช่วงที่น้ำท่วมหนัก ไม่มีโอกาสเข้ามาที่โรงเรียน เพื่อขนย้ายอุปกรณ์การเรียน หรือหนังสือในห้องสมุด แต่เมื่อน้ำลดและเข้ามาที่โรงเรียนได้ เรารู้สึก “ตกใจ” และ “เสียใจมาก” ที่เห็นว่า สภาพโรงเรียนไม่มีอะไรเหลือเลย ด.ญ.พิมพ์ชนก ผลประเสริฐ หรือ ดอดิเยาะห์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ร.ร.สามัคคีวิทยาฯ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อนึกถึงกิจกรรมและสิ่งของหลายๆ อย่าง ที่เธอกับเพื่อนๆ ได้ทำร่วมกันไว้ เช่น สมุดบันทึก การจัดบอร์ด ถูกน้ำท่วมพังเสียหายหมด
ในเวลานั้น สิ่งของและอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างแปรสภาพกลายเป็นกองขยะ
ไม่ต่างจาก ด.ญ.รุ่งนภา พิมพ์กลาง หรือ บีม เพื่อนร่วมชั้นของ ดอดิเยาะห์ ที่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ความเสียหายจากผลกระทบน้ำท่วมที่ตนและเพื่อนๆ รู้สึกเสียใจ และใจหายมากที่สุด คือ “หนังสือในห้องสมุด”
แต่วันนี้ พลังน้ำใจไทย ได้แปรเปลี่ยนความรู้สึก “ตกใจ” และ “เสียใจ” ของเด็กน้อย และเพื่อนๆ ในเวลานั้น ให้เกิดความรู้สึกใหม่แล้ว
โรงเรียนสามัคคีวิทยาฯ ในวันนี้ มีห้องเรียนและอาคารเรียนใหม่ ที่มีสีสันสดใส สวยขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับโรงอาหาร โรงยิม แปลงเกษตรและสวนหย่อมหน้าโรงเรียนก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“พวกหนูดีใจที่มีคนเข้ามาฟื้นฟู วันนี้โรงเรียนสวยสดใสขึ้นกว่าเดิมอีก” ดอดิเยาะห์ บอก ขณะช่วยเพื่อนๆ เดินบริการน้ำดื่มและผ้าเย็นให้ผู้ใหญ่ใจอาสาทุกคน ทั่วบริเวณโรงเรียนด้วยสายตาแห่งความหวัง
ยิ่งเมื่อเธอเห็นความตั้งใจของทุกภาคส่วนที่เข้ามาช่วยเหลือด้วยแล้ว เธอบอกว่า วันนี้มีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น แม้ว่าจะต้องเพิ่มเวลาเรียนอีกวันละ 2 ชั่วโมง และเรียนชดเชยในวันหยุดมากขึ้นก็ตาม
แม้การคืนรอยยิ้มให้กลับสู่ทั้ง 84 โรงเรียน จะสำเร็จลุล่วงได้อย่างที่ทั้ง 12 องค์กรตั้งปณิธานไว้ แต่ในฐานะตัวแทนของโครงการพลังน้ำใจไทย "อิสระ ว่องกุศลกิจ" ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล เน้นย้ำด้วยว่า ถึงโครงการฯ จะบรรลุผล แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการผนึกกำลังของบริษัทไทยในการช่วยเหลือด้านการศึกษา เพราะยังมีอีกหลายโรงเรียนที่ยังประสบปัญหา และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ฉะนั้น ในอนาคตจำเป็นต้องคิดกันต่อว่า จะทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทยมีความพร้อม และแข็งแรงเพียงพอที่จะก้าวต่อไปยังระดับการศึกษาขั้นต่อๆ ไปได้
"การรวมตัวของภาคเอกชนในโครงการนี้ นอกจากเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนแล้ว ยังช่วยพัฒนาทั้งความรู้ รวมถึงกำลังใจของเด็ก-ครูและผู้ปกครองให้คืนมาอีกครั้ง หลังจากลอยหายไปกับน้ำ ซึ่ง นายอิสระ เชื่อว่านี่คือ “ก้าวแรก” ของภาคเอกชนที่สามารถรวมตัวให้เกิด “พลัง” ในการขับเคลื่อนประเด็นอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อไปได้ ซึ่งคงมุ่งเน้นการศึกษาเป็นประเด็นหลัก
“เพราะเชื่อว่า การสร้างการศึกษาที่ดี ก็เปรียบดั่งการสร้างพื้นฐานและอนาคตของประเทศไทย อันเป็นตัวกำหนดความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ” นายอิสระพูดทิ้งท้าย
หากประเมินความรู้สึกของรอยยิ้มที่ 84 ในวันปิดโครงการพลังน้ำใจไทยครั้งนี้ สะท้อนผ่านทั้งสีหน้า แววตา และคำพูดได้ชัดแจ้ง…เช่นเดียวกันกับเหล่าผู้ให้ ที่แม้จะมีหยาดเหงื่อเปื้อนใบหน้า และรอยยิ้มไปบ้าง แต่ก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันนัก...
ประมวลภาพ ปิดโครงการ "พลังน้ำใจไทย Power of Thai"