- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- จับทิศ AEC ประเทศไทย เอาอยู่หรือไม่
จับทิศ AEC ประเทศไทย เอาอยู่หรือไม่
ที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า AEC (ASEAN Economic Community: AEC) หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อยู่บ่อยครั้ง แต่ผลสำรวจออกมาแล้ว จำนวนผู้คนที่รู้เรื่องนี้กลับน้อยเต็มที
ทั้งๆ ที่ การก้าวสู่ประชมคมอาเซียน ภายในปี 2558 ถือเป็นวาระแห่งชาติ หรืออาจเรียกได้ว่า วาระแห่งภูมิภาคด้วยซ้ำไป
วันก่อน ชมรมศิษย์เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดพื้นที่สาธารณะ (public sphere) เชิญผู้รู้ร่วมวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางสังคมด้วยแนวทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เรื่อง "ประเทศไทย เอา (ไม่) อยู่ใน AEC?" ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้น ทั้งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงภัยธรรมชาติ
Soft Power พลังรื้อราก
เพื่อให้เรามองโลกกว้างกว่าประเทศไทย ดร. เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ นักวิชาการอิสระ เจ้าของนามปากกา "ยุคศรีอาริยะ" อภิปรายเป็นคนแรก บอกว่า หากอยากจะเข้าใจโลกอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ อย่าเข้าใจเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง แค่นั้น
เพราะโลกปัจจุบันมีสิ่งบางสิ่งที่มี "อิทธิพล" ยิ่งใหญ่กว่า เศรษฐกิจ การเมือง
นั่นก็คือ การเข้ามาของ Soft Power เช่น สื่อ ทีวี วิทยุ แนวคิดทฤษฎีที่มาจากตะวันตก แม้แต่ระบบการศึกษา โดย Soft Power มีพลังที่สามารถรื้อรากหมด ตั้งแต่วิธีคิดแต่โบราณ และซึมลึกมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ ทั้งๆ ที่มันเข้ามามีอิทธิพล ไหลทะลักเข้ามาโดยเราไม่ได้ตั้งคำถามเลย
สำหรับความท้าทายที่หนักหน่วง ในระบบโลกที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้ ดร. เทียนชัย ชี้ว่า เศรษฐกิจโลกพุ่งอยู่ในขาลง ประกอบกับมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ วิบัติภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นอีก เสริมด้วยวิกฤตน้ำมัน ซึ่งก็หมายความว่า จะเกิดปรากฎการณ์ช่วงชิงทางประวัติศาสตร์โลก มหาอำนาจสองฝ่ายต้องเผชิญหน้า ทำ "สงครามช่วงชิงอำนาจเหนือระบบโลก""
นี่คือ ประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติต้องเผชิญ
"ยุคศรีอาริยะ" วิเคราะห์โลก เกินกรอบประเทศไทย และยังเตือนไว้ด้วยว่า ประเทศไทยกำลังถูกลากเข้าสู่ภาวะของสงครามอีกรอบ ที่ไม่ใช่การทำสงครามเพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
AEC "ร้อยพ่อพันธุ์แม่"
วกกลับมาที่ "AEC" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงของประชาคม 10 ประเทศ ที่ประกอบด้วย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา อุปสรรคใหญ่ ที่ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ "สุรพงษ์ ชัยนาม" มองเห็นลำดับต้นๆ คือ ระบอบการเมืองการปกครอง แบบ "ร้อยพ่อพันธุ์แม่"
มีทั้งการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบสุลต่าน ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ เสี้ยวใบ และมีทั้งระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จพรรคคอมมิวนิสต์ เผด็จการโดยทหาร
ความแตกต่างทางการเมืองการปกครองเช่นนี้เอง ได้กลายเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการสถาปนาการเป็นประชาคมอาเซียน
และที่ทำให้ความเป็นประชาคมอาเซียนสะดุด เขาบอกว่า คือการรับสมาชิกใหม่ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ "อาเซียนคำนึงถึงแต่ปัจจัยทางภูมิศาสตร์เท่านั้น ทั้งๆที่โดยสามัญสำนึก หลักเกณฑ์การจะรับสมาชิกใหม่ ประเทศเหล่านั้นต้องมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่เป็นตัวถ่วง"
ไม่ต้องดูอื่นไกล หากคิดจะเทียบเคียง สหภาพยุโรป (Europian Union:EU) จะมีหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ในการรับสมาชิกใหม่ ต้องมีระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตย และเศรษฐกิจทุนนิยม รวมทั้งหลักเกณฑ์ย่อยอีกมากมาย
แต่อาเซียน กลับไม่มี...!!
ครั้นมาดูอาเซียน ซึ่งก่อตั้งมากว่า 40 ปี นัดประชุมถึง 700 ครั้งต่อปี มีความตกลงไปแล้ว 134 ข้อตกลงที่ให้สัตยาบัน แต่มีผลใช้บังคับแค่ 87 เรื่อง
หรือคิดเป็น 65% เท่านั้น
ถามว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะความแตกต่างด้านการเมืองการปกครอง การรับสมาชิกใหม่ เหล่านี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อการเป็นประชาคมอาเซียนเลย ใช่หรือไม่ อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ บอกอีกว่า อาเซียน ถึงขนาดต้องบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊กส์ เป็นองค์กรที่กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ไม่มีบทบังคับให้สมาชิกต้องปฏิบัติตาม
ทุกวันนี้เราจึงพบว่า มีหลายความตกลงที่ หลายประเทศสมาชิก... ไม่ปฏิบัติตาม
ฉะนั้น อนาคตของอาเซียนจะมีได้ มีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1. ระบอบการเมืองการปกครองต้องมีความเนียนใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ร้อยพ่อพันธุ์แม่แบบทุกวันนี้ และ 2.ประชาสังคมต้องเข้มแข็งกว่านี้
จิ๋วแต่แจ๋ว เข้าตาสากล
น่าสนใจว่า "อาเซียน" มีขนาดเศรษฐกิจเล็กนิดเดียว เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก เล็กชนิดที่ว่า ต้องใช้กล้องส่องถึงจะเห็น แต่แล้วทำไมถึงถูกกล่าวถึงมากขนาดนี้
"จิ๋วแต่แจ๋ว" คือคำตอบของ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หนึ่งในผู้ร่วมอภิปราย ที่วิเคราะห์ว่า แม้อาเซียน ซึ่งกำลังก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ มีจีดีพีรวมกันไม่ถึง 3% ของเศรษฐกิจโลก
"แต่คุณมีประชากร 9% ของโลก"
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ทางทุนนิยม ในอาเซียนยังมีมากเหลือเกิน และมีมากที่สุดในหมู่อาเซียนใหม่ 4 ประเทศ คือกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม
- เวียดนาม มีจีดีพี 1 แสนล้านเหรียญฯ ต้นๆ ประชากร 90 ล้านคน (จีดีพี 1ใน3 ของประเทศไทย)
- พม่า มีจีดีพี 3 หมื่นล้านเหรียญฯ ต้นๆ (จีดีพี 1ใน11 ของประเทศไทย)
- กัมพูชา มีจีดีพี 1 หมื่นล้านเหรียญฯ ต้นๆ (จีดีพี 1ใน33 ของประเทศไทย)
- ลาว มีจีดีพี 1 พันล้านเหรียญฯ (จีดีพี 1ใน60 ของประเทศไทย)
นับรวมกันแล้ว 4 ประเทศนี้ จีดีพียังไม่ถึงครึ่งของประเทศไทย (จีพีดีของไทยเมื่อเทียบกับของโลก 3.3 แสนล้านเหรียญฯ ไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ของโลก)
แต่เมื่อเงินล้นโลก....รศ.ดร.สมภพ บอกว่า เงินก็ไหลมาทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิด (open economy) AEC จึงเข้าตาประชาคมโลก
ทั้งนี้ ปัญหาของ AEC 10 ประเทศ ที่นอกจากการเมืองการปกครองร้อยพ่อพันธุ์แม่แล้ว ยังพบว่า มีความแตกต่างกันทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา และภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ อีกที่ไม่มีความเหมือนกัน แถมบางเรื่องต่างกันชนิดฟ้ากับเหวก็ว่าได้
"ความแตกต่างนี้เอง อาจทำให้ความร่วมมือ เพื่อมุ่งสู่ความเป็น AEC มีปัญหา" ฉะนั้น โจทย์ใหญ่ เขาจึงเห็นว่า จะหาเอกภาพในความหลากหลายได้อย่างไร เพราะมิเช่นนั้นในอนาคต อาเซียนมีแนวโน้มกลับไปสู่ปัญหาในเรื่องของความมั่นคง เหมือนที่เกิดขึ้นในยุคก่อตั้งใหม่ๆ รวมทั้ง สหรัฐฯ จีน อาจจะมาใช้อาเซียนเป็นพื้นที่สมรภูมิการต่อสู้ในเรื่อง Soft Power สูงมาก จนเข้าสู่ยุคสงครามเย็นยุคใหม่
"เราจะกลายเป็น สนามชนช้างของมหาอำนาจ ทำอย่างไรไม่ให้อาเซียนเป็นหญ้าแพรก"
สิ่งสำคัญ ที่น่าห่วง เมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว เราจะเจอการเคลื่อนย้ายเสรีใน 5 เรื่อง ได้แก่ การนำเข้าส่งออกเสรี, การลงทุนระหว่างกันเสรี, ภาคบริการ 12 ภาคส่วนเสรี,การเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี และการเคลื่อนย้ายเสรีของบุคลากรมีฝีมือ
รศ.ดร.สมภพ บอกว่า จากนี้ไป ไทยต้องจับทิศทางให้ถูก หากไม่มีการเตรียมการ ไทยเอาไม่อยู่แน่นอน
แค่ "แรงงาน" เรื่องเดียว เราจะขาดแคลนแรงงานอย่างมากมาย เพราะจะมีการดึงแรงงานกลับ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น....
ต่อไปโลกไม่มีขั้วเดียว
ด้านรศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ แสดงความเป็นห่วงเพิ่มเติมว่า หากภาคประชาสังคมไม่ตื่นตัว ปล่อยให้ทุนสามาลย์ครองโลก AEC จะไปไม่รอด แต่หากมีภาคประชาสังคมเข้ามาถ่วงดุล เข้ามาคาน เชื่อว่า สถานการณ์น่าจะดีขึ้น
"ต่อไปโลกไม่มีขั้วเดียว แต่จะเป็น 7 ขั้ว โดย 6 ขั้วเป็นไปตามสกุลเงิน 1.ขั้วดอลล่าร์ (สหรัฐฯ แคนนาดา เม็กซิโก) 2.ขั้วอเมริกาใต้ (บราซิล เวเนซูเอล่า โบลีเวีย คิวบา) 3.ขั้วยูโร 4.ขั้วรูเบิล (รัสเซีย) 5.ขั้วรูปี (อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ) 6.ขั้วหยวน (จีน) และ 7.ขั้วอาเซียน แต่ไม่มีสกุลเงินตัวเอง"รศ.ดร.ณรงค์ ไล่เรียงฉากทัศน์ให้ฟัง และว่า ปัจจุบันนี้ เรายังไม่มีคำตอบ อาเซียนจะสร้างสกุลเงินของตัวเอง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะไปผนวกกับสกุลเงินหยวน หรือไม่ก็รูปี
นั่นคือคำตอบกลายๆ สรุปว่า อาเซียนเอาไม่อยู่ เพราะจะมีการช่วงชิงครองความเป็นเจ้าทางความคิดอย่างรุนแรงของค่ายตะวันตกและตะวันออก
รศ.ดร.ณรงค์ ฝากคำเตือนทิ้งท้าย
"ขณะนี้มีการช่วงชิงทรัพยากร โดยประเทศที่ได้ประโยชน์จาก AEC มากกว่าไทย ก็คือ จีน นอกจากประเทศไทยกลัวสหรัฐฯ ครอบงำแล้ว ขอให้ระวังจีนบ้าง เรากำลังถูกจัดการโดยมหาอำนาจ ด้วยการแย่งชิงทรัพยากร อีกทั้งระวัง AEC จะเอามหาอำนาจไม่อยู่ เพราะคุณจะถูกมหาอำนาจฉีก ให้รวมร่างกันยากขึ้น เพื่อแยกสลายไม่ให้ AEC โตเร็ว"