- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- "คน-ระบบ"ไม่พร้อม พลิกคม"แท็บเล็ต" บาดลึกเด็กไทย
"คน-ระบบ"ไม่พร้อม พลิกคม"แท็บเล็ต" บาดลึกเด็กไทย
เวลานี้ เด็กๆ หลายแสนคน กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะได้สัมผัสกับ "แท็บเล็ต" เทคโนโลยีที่จะถูกนำมาใช้ในการเรียนการสอน ตามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เตรียมแจกจ่ายให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ตามนโยบาย One PC Tablets per child ของรัฐบาล ที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง
โดยรัฐบาลเตรียมแจกให้นักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ทันภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 860,000 เครื่อง
ส่วนความคืบหน้าในการเจรจาจัดซื้อแท็บเล็ตนั้น ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.ภูเก็ต ได้ปรับรูปแบบการจัดซื้อกับรัฐบาลจีนใหม่ โดยจากเดิมเป็นการเจรจาซื้อโดยตรงกับรัฐบาลจีน หรือแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government : G2G) เปลี่ยนเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู แทน
ส่วนบริษัทจีนที่รัฐบาลไทยจะจัดซื้อแท็บเล็ตด้วยวิธีเอ็มโอยูนั้น ทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ข้อสรุปแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.สัญจรยังเห็นชอบการจัดซื้อแท็บเล็ต โดยไม่ต้องใช้วิธีประมูลอีกด้วย
สำหรับสเปคแท็บเล็ตที่กระทรวงไอซีทีกำหนดไว้ล่าสุดคือ ขนาดจอแสดงผลขั้นต่ำ 7 นิ้ว ความละเอียดขั้นต่ำ 1024 x 768 พิกเซล หน่วยบันทึกข้อมูลขนาดไม่ต่ำกว่า 16 GB หน่วยประมวลผลกลางไม่ต่ำกว่า 1 GHz เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Dual Core หน่วยความจำหลักไม่น้อยกว่า 512 MB ระบบปฏิบัติการออกแบบมาเฉพาะแท็บเล็ต หรือเป็นระบบ Android 3.2 (Honeycomb ) Linux Kernel 2.6.36 ขึ้นไป และรองรับการอัปเดจเป็น Android 4.0 (Ice Cream Sandwich) Linux Kernel 3.0.1 ได้
โดยกำหนดราคาไว้ต่อเครื่องอยู่ที่ 2,400 บาทเท่านั้น!!
อย่างไรก็ตาม นโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้น ป.1 และจะขยายไปในชั้นอื่นๆ ในอนาคตนั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างหนักหนาสาหัสสากรรจ์ เพราะไม่เชื่อว่าแท็บเล็ตจะใช้แทน "ตำราเรียน" ได้ 100% แต่หากใช้เป็นส่วนเสริมก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
เพื่อให้การแจกแท็บเล็ตเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำโครงการวิจัยโรงเรียนประถมศึกษานำร่องใช้แท็บเล็ตก่อนแจก โดยให้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร ไปคัดเลือกห้องเรียนประถมในโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร อย่างน้อย 2 ห้อง เพื่อตั้งเป็นห้องเรียนตัวอย่างทำการวิจัยเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ระหว่างห้องที่เรียนผ่านแท็บเล็ต และห้องที่ไม่ได้เรียนผ่านแท็บเล็ต
นอกจากนี้ ยังได้ทำวิจัยนำร่องในโรงเรียน 5 แห่ง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ได้แก่ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม), โรงเรียนราชวินิต, โรงเรียนอนุบาลลำปาง, โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น และโรงเรียนอนุบาลพังงา โดยทดลองกับนักเรียนชั้น ป.1 และ ป.4 ชั้นเรียนละ 1 ห้องๆ ละประมาณ 40-50 คน
ผลจากการศึกษาเบื้องต้น พบว่า ในแต่ละโรงเรียนมีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการนำแท็บเล็ตมาใช้แทนตำราเรียน แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าการใช้แท็บเล็ตจะทำให้ผลการเรียนตกต่ำหรือไม่ แต่ที่เห็นคือนักเรียน และครู กระตือรือร้นมากขึ้น ส่วนสุขภาพตานั้น ทีมผู้วิจัยได้ตรวจเด็กก่อนเข้าโครงการ และยังไม่พบว่ามีสายตาแย่ลง นอกจากนี้ พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีความสนใจเทคโนโลยี และเรียนรู้กับลูกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม "นางวราภรณ์ ภาตั้งใจจริง" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนราชวินิต 1 ในโรงเรียนนำร่องใช้แท็บเล็ตประจำภาคกลางของ สพฐ.ระบุว่า โรงเรียนเริ่มนำร่องใช้แท็บเล็ตเป็นสื่อการเรียนการสอนตั้งแต่เดือนมกราคม 100 เครื่อง แบ่งนำร่องในชั้น ป.1 และชั้น ป.4 จากการสอบถามครูผู้สอนห้องเรียนนำร่อง พบว่าเนื้อหาหลักสูตรที่ใส่ในแท็บเล็ตทั้ง 2 ระดับ ที่ มศว ดาวน์โหลดมาจาก สพฐ.ไม่สอดคล้องกับความรู้ที่นักเรียนมีอยู่ เพราะง่าย และน้อยเกินไป อย่างชั้น ป.1 มศว ได้ใส่เนื้อหาหลักสูตรกว่า 300 เรื่อง แต่ใช้ได้จริง 1 เรื่อง ส่วนชั้น ป.4 มี 300 กว่าเรื่องเช่นกัน แต่ใช้ได้จริง 4-5 เรื่อง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือ การแจกแท็บเล็ตในช่วงแรก สร้างความตื่นตัวให้กับนักเรียนได้จริง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง นักเรียนจะเริ่มเบื่อ!!
ปัญหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่วิเคราะห์คาดเดากันล่วงหน้า ซึ่งไม่แตกต่างจากการนำร่องใช้ "แล็บท็อป" ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อหลายปีก่อน ที่ประสบความ "ล้มเหลว" เช่นกัน..
นอกจาก "เนื้อหา" ที่จะนำไปใส่ในแท็บเล็ตแล้ว หลายคนยังเป็นห่วงเรื่องของการดูแล และการบำรุงรักษาแท็บเล็ต รวมถึง ปัญหาในการ "ชาร์จแบตเตอรี่" เพราะถ้าแท็บเล็ตไม่มีแบตเตอรี่ ก็ไม่ต่างจากแผ่นกระดาน
ประเด็นนี้ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนราชวินิต บอกว่า การชาร์จแบตเตอรี่แท็บเล็ตในห้องเรียนนำร่อง จะต้องชาร์จครั้งละ 3 ชั่วโมง แต่ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง ฉะนั้น ถ้ารัฐบาลจะแจกแท็บเล็ต 9 แสนเครื่องจริงๆ จะต้องจัดสรรงบประมาณให้กับโรงเรียนในการขยายการเดินสายไฟใหม่ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นนักเรียนจะใช้ปลั๊กจากไหน และค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ใครจะเป็นคนจ่าย
อีกปัญหาใหญ่ที่หลายคนเป็นห่วง คือการนำแท็บเล็ตกลับบ้าน หากเสีย หรือเกิดการสูญหาย จะทำอย่างไร รวมถึง อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ที่มีแท็บเล็ต เพราะอาจถูกฉกชิงวิ่งราว ซึ่งเด็กๆ อาจได้รับอันตราย..
ขณะที่ "พญ.นิตยา คชภักดี" ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้บอกถึง "ผลเสีย" ที่จะเกิดขึ้นกับการนำแท็บเล็ตมาใช้กับนักเรียน ป.1 เพราะมองว่าเด็กอายุ 5-7 ปี ต้องเรียนรู้จากโลกแห่งความเป็นจริง จากคน และจากการสัมผัส การให้เด็กใช้แท็บเล็ตแทนการเรียนรู้ของเด็ก จะสวนทางกับพัฒนาการของมนุษย์
โดยผลการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ รวมทั้ง ไทย พบว่าเด็กที่ใช้แท็บเล็ตจะไม่กิน ไม่นอน นิ้วเคล็ด คอเคล็ด เพราะใช้ไม่ถูกวิธี และไม่สร้างสรรค์ จึงจำเป็นต้องหาวิธีป้องกัน อีกทั้ง เด็กยังไม่มีทักษะที่เพียงพอสำหรับการอ่าน การเขียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งที่คนที่จะใช้แท็บเล็ตจำเป็นจะต้องมีทักษะการเรียนรู้ และสังเคราะห์ด้วยตนเองได้ระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเด็กจะเครียด เพราะแท็บเล็ตจะกลายเป็นพิษได้..
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ "เด็กไทย" กลายเป็น "เหยื่อ" ของแท็บเล็ต เหมือนการเสพติดยา การพนัน เกม และเรื่องเพศ โดยเด็กๆ จะถูกบั่นทอนโอกาสทักษะชีวิตจากโลกจริงๆ และกลายเป็นโรคติดไอที จึงไม่ควรจะให้เด็กใช้แท็บเล็ตตลอดเวลา ไม่ควรให้นำกลับบ้าน และควรควบคุมการใช้ของเด็ก
ขณะเดียวกัน ความพร้อมของครู และโรงเรียน ก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ แม้ สพฐ.เตรียมจะอบรมครูทั่วประเทศ พร้อมจัดทำ "คู่มือ" การใช้แท็บเล็ต แต่จะทันท่วงทีหรือไม่ ส่วนโรงเรียนขนาดเล็ก 14,000 แห่ง ที่มีครูน้อย และยังไม่พร้อมใช้แท็บเล็ต จะทำอย่างไร!!
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะนับถอยหลัง ณ เวลานี้ ไปจนถึงเปิดภาคเรียนที่ 1/2555 ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ฉะนั้น ช่วงเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้ ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คงต้องเร่งเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ให้กับนักเรียน ครู และโรงเรียน..
ไม่เช่นนั้น "แท็บเล็ต" อาจจะกลายเป็นเพียง "ของเล่น" ชิ้นใหม่สำหรับเด็กๆ ที่เล่นประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็โยนทิ้ง!!
เวลานี้ เด็กนับแสนๆ คน กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะได้สัมผัสกับ "แท็บเล็ต" ของเล่นด้านการศึกษาชิ้นใหม่ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เตรียมแจกให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ตามนโยบาย One PC Tablets per child ของรัฐบาล ที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง
โดยรัฐบาลกำหนดแจกให้นักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ทันภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการทดสอบสมรรถนะแท็บเล็ต ประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์แห่งชาติ (ซิป้า) ว่า ได้นำเนื้อหาการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 360 หน่วยการเรียนรู้ที่เป็นภาพแอนิเมชั่นครอบคลุม 5 รายวิชา บรรจุลงในแท็บเล็ต ขนาด 4GB เพื่อทดสอบการทำงานของแท็บเล็ตว่ามีความรวดเร็วในการประมวลผล โดยการทดสอบดังกล่าวยังไม่รวมกรณีติดตั้งแอพพลิเคชั่นเสริม ซึ่งแต่ละเขตพื้นที่ จะจัดซื้อและติดตั้งเองในภายหลัง การทดสอบครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบประสิทธิภาพเท่านั้น ไม่มีผลต่อการจัดซื้อเนื่องจากอยู่ในความดูแลของกระทรวงไอซีที อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมของ สพฐ.นั้น ได้ร่างหลักสูตรการอบรมศึกษานิเทศก์และครูในการใช้เครื่องและข้อควรระวังเสร็จแล้ว คาดว่าจะเริ่มอบรมได้ในเดือนเมษายน ส่วนแท็บเล็ต ที่จะใช้อบรม อาจใช้เครื่องที่จัดส่งมาให้ล็อตแรก 2,000 เครื่อง หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดซื้อภายใน 10 วัน
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า สำหรับการจัดเตรียมงบประมาณเพื่อจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นั้น สพฐ.ต้องรอฟังนโยบายจากนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก่อนว่าจะมีนโยบายอย่างไร ทาง สพฐ.ยังไม่สามารถทำเรื่องเสนอหรือจัดตั้งงบไว้ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับงบที่คาดว่าจะต้องจัดตั้งเพื่อแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษาสังกัด สพฐ.ประมาณ 7 แสนกว่าคนนั้น คาดว่าต้องใช้งบ 8,000 กว่าล้านบาท โดย จัดซื้อเครื่องละไม่เกิน 12,000 บาท
สพฐ.วิจัยแท็บเล็ต 5รร."หนูทดลอง"
สพฐ.ทำโครงการวิจัยโรงเรียนประถมนำร่องใช้แท็บเล็ตก่อนแจก โดยให้ รร.สาธิต มศว และ รร.ในสังกัด สพฐ.อีก 4 โรง ทดลองใช้นำร่อง เริ่มทำวิจัยเทอม 2 นี้ก่อนสรุปผล
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการศึกษา ตามนโยบาย One PC Tablets per child ของรัฐบาลว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร ไปคัดเลือกห้องเรียนประถมในโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ระดับประถม อย่างน้อย 2 ห้อง เพื่อตั้งเป็นห้องเรียนตัวอย่างทำการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นข้อดี-ข้อเสียระหว่างห้องเรียนที่เรียนผ่านแท็บเล็ต และห้องที่ไม่ได้เรียนผ่านแท็บเล็ต ทั้งนี้ จะมีการจัดทำวิจัยนำร่องในโรงเรียนทั้งหมด 5 โรง ได้แก่ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร 1 โรง และโรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. อีก 4 โรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการคัดเลือกผ่านการกำหนดคุณสมบัติของโรงเรียนที่สอดคล้องกับการวิจัย อาทิ จะต้องมีห้องเรียนประถมเพื่อการวิจัยอย่างน้อย 2 ห้อง ทั้งช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) เป็นต้น
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า การวิจัยครั้งนี้จะเริ่มวิจัยในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 และจะมีการสรุปผลหลังจบภาคเรียน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ สพฐ.ไม่ทำการวิจัยในทุกช่วงชั้นนั้น เพราะผู้วิจัยกังวลว่าอาจจะเกินการควบคุม เพราะต้องส่งครูและทีมงานด้านคอมพิวเตอร์จากส่วนกลางลงไปมาก ดังนั้น จึงจำกัดแค่ 2 ช่วงชั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในส่วนเครื่องแท็บเล็ตที่จะนำมาใช้ในการวิจัยนั้น จากการหารือร่วมกับกระทรวงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า จะใช้วิธีการรับบริจาคแท็บเล็ตในการวิจัยแทนการจัดซื้อ ซึ่งก็ได้กำหนดสเปกขั้นต่ำไว้แล้ว โดยดูจากวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นหลัก.
“....แท็บเล็ตจะเป็นเพียงตัวช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับนักเรียน เท่านั้น แต่ไม่สามารถมาแทนครูได้ เพียงแต่เป็นอุปกรณ์ที่ให้ครูและนักเรียนเลือกใช้ได้บางเวลา…”
เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับ “โครงการนำร่องการประยุกต์และบูรณาการคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาตามแนวนโยบายของรัฐบาล” เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ซึ่งนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดงานและสักขีพยานในการรับมอบเครื่องแท็บเล็ต ระหว่างบริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 600 เครื่องที่บริจาคผ่าน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อส่งต่อไปยังโรงเรียนนำร่อง 5 แห่งที่ได้รับคัดเลือกจาก สพฐ. ใช้ในการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ซึ่งในวันดังกล่าวตัวแทนผู้บริหาร นักเรียนทั้ง 5 แห่งเดินทางมาร่วมงานด้วย ทั้งนี้ โรงเรียนนำร่องทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) โรงเรียนราชวินิต กทม. โรงเรียนอนุบาลลำปาง จ.ลำปาง โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น โรงเรียนอนุบาลพังงา จ.พังงา โดยทดลองกับนักเรียนชั้น ป.1และ ป.4 ชั้นเรียนละ 1 ห้องๆละประมาณ 40-50 คน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 - กันยายน 2555 และจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ก่อนหน้านั้น สพฐ.ได้ประกาศขอรับบริจาคแท็บเล็ตจากบริษัทเอกชน เพื่อใช้การเรียนการสอน โดยไม่มีเงื่อนไขผูกพันใดและได้รับการติดต่อมาหลายแห่ง แต่ในท้ายที่สุดตัดสินใจเลือก บ.เลอโนโว ด้วยเหตุผลว่าในการ การศึกษาวิจัยที่ มศว จะเป็นผู้ดำเนินการครั้งนี้นั้นจำเป็นต้องได้เครื่องที่มีคุณลักษณะหรือสเปกเดียวกัน สำหรับแนวทางการศึกษาเบื้องต้นนั้น
ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดี มศว ชี้แจงว่า การดำเนินการจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ครั้งนี้เป็นการดำเนินการระยะแรก ในภาพรวมได้กำหนดให้โรงเรียนสาธิต มศว (ฝ่ายประถม) เป็นโรงเรียนแกนกลางที่เชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายไปสู่ทั้ง 4 โรงเรียน ซึ่ง มศว จะให้การสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน โดยเราจะวิเคราะห์และสังเคราะห์การใช้แท็บเล็ตของนักเรียน ป.1 และ 4 รวมถึงการติดตามผลกระทบทางการเรียนรู้จากการใช้แท็บเล็ตของนักเรียน รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ การเรียนรู้ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนักเรียน แต่หมายรวมถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ ที่สำคัญคือ พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ครูประจำวิชา ครูประจำชั้น รวมไปถึงผู้ปกครอง และชุมชนของโรงเรียนนำร่องด้วย นอกจากนี้ จะศึกษาด้วยว่าโอกาสในการใช้แท็บเล็ตเพื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษาใน 7 กลุ่มสาระวิชานั้น กลุ่มสาระวิชาใดมีโอกาสใช้แท็บเล็ตมาก กลุ่มวิชาใดมีโอกาสใช้น้อย เช่น วิชาภาษาไทย หากครูไม่มีทักษะการออกเสียง ร.เรือ ล.ลิง ได้ดีการมีแท็บเล็ตก็สามารถช่วยได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีตัวเลขที่เคยศึกษา พบว่า เด็กประถมศึกษาที่ใช้แท็บเล็ตทำตก ร้อยละ 12 โดยเป็นการทำตกที่สามารถซ่อมแซมได้ ร้อยละ 7 และที่ซ่อมไม่ได้อีกร้อยละ 5 เพราะสาเหตุมาจากการตกน้ำ เพราะฉะนั้น มศว จะมีการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคลงไปดูแลกรณีโรงเรียนประสบปัญหาการใช้แท็บเล็ต รวมถึงการซ่อมแซมหากเกิดกรณีแท็บเล็ตตกหล่นด้วย “ผมยืนยันว่า แท็บเล็ตจะเป็นเพียงตัวช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับนักเรียน เท่านั้น แต่ไม่สามารถมาแทนครูได้ เพียงแต่เป็นอุปกรณ์ที่ให้ครูและนักเรียนเลือกใช้ได้บางเวลา ไม่ได้ใช้ตลอดเวลา และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนการสอนบางอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น แต่ครูยังมีความสำคัญในการให้ความรู้ในด้านอื่น ๆ”อธิการ มศว กล่าวและว่า ท้ายที่สุด มศว จะสรุปผลจากโรงเรียนนำร่องทั้งหมดเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำหลักสูตรฝึก อบรม รวมทั้งจะจัดทำต้นแบบการบูรณาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยแท็บเล็ต
ด้านนางกฤตยา หินเธาว์ ครูประจำชั้น ป.1/1 โรงเรียนสนามบิน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นทางโรงเรียนมีการเตรียมห้องสำหรับจัดเก็บเครื่องแท็บเล็ต โดยจะให้นักเรียนได้ใช้แท็บเล็ตในชั่วโมงการเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น คือ วิชาใดต้องใช้แท็บเล็ตก็นำมาใช้เมื่อเรียนเสร็จก็นำไปเก็บ โดยไม่ให้นำกลับบ้านซึ่งหากมีการบ้านก็จะใช้วิธีแจกชีทให้ไปทำที่บ้าน ทั้งนี้ เพราะเราเป็นห่วงอย่างเด็ก ป.1 ถ้าเขาวิ่งเล่นไม่ทันระวังก็อาจจะตกหล่นได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ปกครองนั้นทางโรงเรียนก็จะเตรียมทำความเข้าใจต่อไปด้วย ขณะที่ด.ญ.ฑิฆัมพร บุตรสามาลี ชั้น ป.1 และ ด.ญ.ภักจิราวดี จุลมา ชั้น ป.4 โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น บอกถึงความรู้สึกที่จะได้ใช้แท็บเล็ต ว่า “ตื่นเต้น มากค่ะ หนูไม่เคยรู้จักแท็บเล็ตมาก่อนแต่พอรู้จากครูว่าจะได้ใช้แท็บเล็ตในการเรียน ก็เลยไปบอกแม่ พอดีเพื่อนแม่มีแท็บเล็ตก็เอาให้หนูดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไรเล่นอะไรได้บ้าง หนูว่าเครื่องเล็กพกพาง่ายดี และปกติหนูก็ใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่แล้วทั้งที่บ้านและโรงเรียนตั้งใจว่าถ้า ได้ใช้แท็บเล็ตจะเอาไว้หาข้อมูล” จากวันนี้คงต้องรอดูผลการศึกษาการใช้แท็บเล็ตใน 5 โรงเรียน นำร่อง ที่ รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้ มศว ไปดำเนินการครั้งนี้นั้นจะช่วยคลายข้อกังวลใจทั้งความเหมาะสมของวัยวุฒิ ผลกระทบจากการใช้งานในด้านสุขภาพ หรือที่กลัวว่าเด็กจะเล่นเกมมากกว่าหาความรู้ ที่ได้รับการติติงมาต่อเนื่องจากนักวิชาการ เอ็นจีโอ และผู้ปกครองนับแต่การประกาศนโยบายแจกแท็บเล็ตได้หรือไม่
สวนดุสิตโพลเผย ผลสำรวจประชาชน ส่วนใหญ่เห็นว่าควรใช้หนังสือเรียนเป็นหลักและใช้แท็บเล็ตเพื่อเสริมการเรียนการสอน
สวนดุสิตโพล ได้สำรวจความคิดเห็น ความต้องการของผู้ปกครองในรายการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ และให้ไปสำรวจความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต(Tablet Pc) กับการจัดการเรียนการสอนนั้น โดยได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ครู ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ และนักวิชาการด้านการศึกษา จำนวน 407 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่รู้จักแท็บเล็ต ร้อยละ 85.50 และกลุ่มที่เคยใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ร้อยละ 40.52
จากผลการสำรวจ ร้อยละ 51.61 เห็นว่า ควรใช้หนังสือเรียนเป็นหลักและใช้แท็บเล็ตเพื่อเสริมการเรียนการสอน ขณะที่ ร้อยละ 29.24 เห็นว่า ควรใช้หนังสือเรียนและแท็บเล็ตควบคู่กันในอัตราที่เท่าเทียมกัน และร้อยละ 1.76 เห็นว่า ควรใช้แท็บเล็ตเป็นหลักและใช้หนังสือเรียนเพื่อเสริมการเรียนการสอน
ส่วนช่วงชั้นที่เหมาะสมกับการใช้แท็บเล็ตในการเรียนนั้น เห็นว่า ช่วงชั้นที่ 3 เหมาะสมที่สุดถึงร้อยละ 45.55 รองลงมา ร้อยละ 38.39 เห็นว่าควรเริ่มที่ช่วงชั้นที่ 2 และ ร้อยละ 14.97 เริ่มที่ช่วงชั้นที่ 1
สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่ควรใช้ในแท็บเล็ตมากที่สุด คือกลุ่มการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ร้อยละ 71.50 รองลงมาร้อยละ 61.92 และร้อยละ 52.83 คือกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ร้อยละ 49.39 เห็นว่า วิธีการจัดสรรแท็บเล็ต ควรให้นักเรียนเป็นเจ้าของ 1 คนต่อ 1 เครื่องมากที่สุด ขณะเดียวกันก็เห็นว่าควรให้โรงเรียนดูแล (ยืมใช้และส่งคืนเมื่อจบการศึกษา) ร้อยละ 39.40 และร้อยละ 9.34 เห็นว่า ควรจำหน่ายให้นักเรียนในราคาถูก สำหรับความคุ้มค่าในการใช้แท็บเล็ตในการเรียนการสอน ร้อยละ 70.02 เห็นว่า เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่วนร้อยละ 65.85 เห็นว่าเป็นการพัฒนาความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยี
ส่วนประโยชน์จากการใช้แท็บเล็ตในการจัดการเรียนการสอนทั้งกับตัวนักเรียน ร้อยละ 63.57 เห็นว่า จะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้กว้างไกลมากขึ้น รู้จักค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ในปัจจุบัน ขณะที่ร้อยละ 24.16 และ 4.83 เห็นว่า จะเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีแก่ผู้เรียน และเพิ่มความรู้ความสามารถในเรื่องของภาษาต่างประเทศ
สำหรับประโยชน์ต่อตัวครู พบว่า ร้อยละ 60.65 เห็นว่า จะช่วยให้ครูประหยัดเวลาในการค้นคว้าข้อมูล เพื่อมาเตรียมการสอน ร้อยละ 26.39 จะช่วยให้ครูสามารถผลิตสื่อการสอน/พัฒนาองค์ความรู้ที่น่าสนใจ เพื่อนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนให้ดีขึ้น และร้อยละ 12.96 เห็นว่า จะช่วยเสริมสร้างในเรื่องของการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วันที่ 20 ก.พ. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมครูเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับชมรมผู้สื่อข่าวการศึกษา และเว็บไซต์อีทีวีแม็ค ได้จัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "แท็บเล็ต 9 แสนเครื่อง เป็นเครื่องมือปฏิรูปการศึกษาได้จริงหรือ" โดย พญ.นิตยา คชภักดี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เด็กอายุ 5-7 ปี ตามสรีระจำเป็นต้องเรียนรู้จากโลกแห่งความเป็นจริง จากคน และจากการสัมผัส ดังนั้น หากจะใช้แท็บเล็ตแทนการเรียนรู้ของเด็ก จะเป็นการสวนทางกับพัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งหากไม่เตรียมพร้อมครู และซอร์ฟแวร์ที่จะนำมาใช้ในแท็บเล็ต ก็ไม่ต้องแปลกใจหากเด็กจะใช้แท็บเล็ต แล้วทำให้ไม่อยากไปทานข้าว วิ่งเล่น เขียนหนังสือ หรือการสร้างสรรค์ต่างๆ เพราะเด็กจะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆในแท็บเล็ตแทน
พญ.นิตยา กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ มีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยพบว่า เด็กที่ใช้แท็บเล็ต จะไม่กินไม่นอน นิ้วเคล็ด คอเคล็ด เนื่องจากใช้อย่างไม่ถูกวิธี ไม่สร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เพราะหากแท็บเล็ตใช้ไม่ถูก แล้วก็จะติดลบไปตลอด เนื่องจากเด็กเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างทักษะที่พอเพียงสำหรับการอ่าน การเขียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งคนที่จะใช้แท็บเล็ตต้องมีทักษะการเรียนรู้และสังเคราะห์ด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้แล้วเด็กจะเครียดมาก และแท็บเล็ตก็จะกลายเป็นพิษได้
"หากเราไม่เตรียมพร้อมหรือช่วยกัน ทั้งพ่อแม่ และโรงเรียน ยืนยันได้เลยว่าเด็กไทยต้องเป็นเหยื่อของแท็บเล็ตแน่นอนเหมือนการเสพติดยา การพนัน เกม และเรื่องเพศ เด็กเหล่านี้จะถูกบั่นทอนโอกาสทักษะชีวิตจากโลกจริงๆและจะกลายเป็นโรคติดไอทีแทน หากเราอยากเห็นลูกหลานเติบโตและพัฒนาอย่างรอบด้านต้องเตรียมให้พร้อม"
พญ.นิตยา กล่าวและว่า หากจะให้เด็กใช้แท็บเล็ตนั้นไม่ควรให้ใช้ตลอดเวลาหรือให้นำกลับบ้าน แต่ควรเก็บไว้ที่โรงเรียน นอกจากนี้ควรจะต้องเตรียมพร้อมครู และพ่อแม่ด้วยในการควบคุมการใช้ของเด็ก เช่น อาจจะกำหนดว่าเด็กจะเล่นวันละกี่นาที เพื่อให้การนำแท็บเล็ตไปใช้อยู่ในร่องในรอย ทั้งนี้ คิดว่าแท็บเล็ตคงไม่สามารถไปช่วยเรื่องการปฏิรูปการศึกษาได้ แต่อาจจะเป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น
โดยนางวราภรณ์ ภาตั้งใจจริง รอง ผอ.ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนราชวินิต หนึ่งในโรงเรียนนำร่องใช้แท็บเล็ตประจำภาคกลางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า โรงเรียนได้เริ่มนำร่องใช้แท็บเล็ตมาเป็นสื่อการเรียนการสอนตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับแท็บเล็ต 100 เครื่อง แบ่งนำร่องทั้งชั้น ป.1 และชั้น ป.4 สำหรับผลการนำร่องเบื้องต้น ตนได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ควบคุมการนำร่องของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) พบว่าตั้งแต่เริ่มแจกแท็บเล็ตไปจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เก็บข้อมูลเลย
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามครูผู้สอนห้องเรียนนำร่องเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอน ได้รับรายงานว่าเนื้อหาหลักสูตรที่ใส่ไปในแท็บเล็ตทั้งสองระดับที่ มศว ดาวน์โหลดมาจาก สพฐ.นั้น ไม่สอดคล้องกับความรู้ที่นักเรียนมีอยู่เลย เพราะง่ายและน้อยเกินไป อาทิ ระดับชั้น ป.1 มศว ได้ใส่เนื้อหาหลักสูตรไปกว่า 300 เรื่อง แต่ใช้ได้จริง 1 เรื่อง ซึ่งเป็นเนื้อหาการสอนเรียกคำศัพท์ภาษาอังกฤษของสัตว์ทั้งหลาย ส่วนระดับชั้น ป.4 มีกว่า 300 เรื่องเช่นเดียวกัน แต่ใช้ได้จริงแค่ 4-5 เรื่อง เป็นต้น ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวตนคิดว่าต่อไปนี้โครงการแจกแท็บเล็ตนักเรียนชั้น ป.1 ทั้งหมดน่าจะมีการทำเนื้อหาหลักสูตรที่เป็น E-Book แบ่งระดับความยาก-ง่ายของเนื้อหาต่อระดับของโรงเรียนด้วย เพราะโรงเรียนในเมืองและโรงเรียนในชนบทมีมาตรฐานการเรียนรู้ต่างกัน นอกจากนี้ ครูผู้สอนยังได้รายงานอีกว่า ช่วงแรกที่มีการแจกแท็บเล็ต นักเรียนมีการตื่นตัวที่จะเรียนรู้อย่างมาก แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะ นักเรียนก็เริ่มเบื่อแล้ว
"สำหรับโครงการแจกแท็บเล็ต 9 แสนเครื่องให้นักเรียนชั้น ป.1 นั้น ดิฉันอยากให้ข้อมูลว่าแท็บเล็ตนำร่องในห้องเรียนต้องชาร์จแบตเตอรี่ 3 ชั่วโมง ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง ซึ่งหากรัฐบาลแจกแท็บเล็ต 9 แสนเครื่องจริง ก็ต้องให้งบประมาณโรงเรียนขยายการเดินสายไฟใหม่ทั้งหมดด้วย เพราะลองคิดว่าทั้งห้องมีนักเรียน 40 คน และมีแท็บเล็ตใช้เรียนทั้งหมด เวลาชาร์จแบตเตอรี่แท็บเล็ตจะใช้ปลั๊กจากตรงไหน แล้วไฟฟ้าจะพอเพียงต่อการชาร์จแท็บเล็ตทั้งหมดไหม ใครจะรองรับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หากโรงเรียนให้นำแท็บเล็ตกลับไปใช้เรียนต่อที่บ้านได้ หากเกิดกรณีผู้ปกครองหรือญาตินักเรียนชอบใจแท็บเล็ต และบอกให้เด็กคนนั้นไปบอกกับโรงเรียนว่าทำแท็บเล็ตหายจะทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม การแจกแท็บเล็ต รัฐบาลน่าจะไปแจกระดับอุดมศึกษาจะเหมาะสมกว่า" นางวราภรณ์กล่าว.
สพฐ.ห่วงร.ร.เล็ก1.4หมื่น ไม่พร้อมใช้แท็บเล็ตชั้นป.1
นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้บริหารโรงเรียนราชวินิตประถมศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องในการใช้แท็บเล็ตจัดการเรียนการสอนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และประถมศึกษาปีที่ 4 ระบุว่าเนื้อหาสาระที่บรรจุอยู่ในแท็บเล็ตไม่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนว่า เนื้อหาสาระที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) บรรจุในแท็บเล็ตสำหรับโรงเรียนในโครงการนำร่องเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่เนื้อหาทั้งหมด ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการบรรจุเนื้อหาสาระเพิ่มเติมอีก โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องหารือร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ เพื่อบรรจุเนื้อหาสาระที่สอดคล้องกับบริบท และความต้องการของโรงเรียนในเขตพื้นที่นั้นๆ เข้าไปในแท็บเล็ตด้วย
รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ตนยังรู้สึกเป็นห่วงโรงเรียนขนาดเล็ก 14,000 แห่ง ที่มีครูจำนวนน้อยและอาจจะยังไม่พร้อมใช้แท็บเล็ต ดังนั้น สพฐ.จะมีการเตรียมความพร้อมโดยจัดอบรมครูทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดทำคู่มือการใช้แท็บเล็ตประกอบการเรียนการสอนให้แก่ครูด้วย เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนตลอดปีการศึกษา โดยจะแจกให้แก่ครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พร้อมทั้งบรรจุลงในเว็บไซต์ของ สพฐ. นอกจากนี้จะเปิดเว็บไซต์จัดเป็นชุมชนการเรียนรู้ เพื่อให้ครูเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับการใช้แท็บเล็ตในการเรียนการสอนเพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการทดสอบสมรรถนะแท็บเล็ต ประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์แห่งชาติ (ซิป้า) ว่า ได้นำเนื้อหาการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 360 หน่วยการเรียนรู้ที่เป็นภาพแอนิเมชั่นครอบคลุม 5 รายวิชา บรรจุลงในแท็บเล็ต ขนาด 4GB เพื่อทดสอบการทำงานของแท็บเล็ตว่ามีความรวดเร็วในการประมวลผล โดยการทดสอบดังกล่าวยังไม่รวมกรณีติดตั้งแอพพลิเคชั่นเสริม ซึ่งแต่ละเขตพื้นที่ จะจัดซื้อและติดตั้งเองในภายหลัง การทดสอบครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบประสิทธิภาพเท่านั้น ไม่มีผลต่อการจัดซื้อเนื่องจากอยู่ในความดูแลของกระทรวงไอซีที อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมของ สพฐ.นั้น ได้ร่างหลักสูตรการอบรมศึกษานิเทศก์และครูในการใช้เครื่องและข้อควรระวังเสร็จแล้ว คาดว่าจะเริ่มอบรมได้ในเดือนเมษายน ส่วนแท็บเล็ต ที่จะใช้อบรม อาจใช้เครื่องที่จัดส่งมาให้ล็อตแรก 2,000 เครื่อง หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดซื้อภายใน 10 วัน
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับงบที่คาดว่าจะต้องจัดตั้งเพื่อแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษาสังกัด สพฐ.ประมาณ 7 แสนกว่าคนนั้น คาดว่าต้องใช้งบ 8,000 กว่าล้านบาท โดย จัดซื้อเครื่องละไม่เกิน 12,000 บาท
ชงครม.ปรับวิธีซื้อแท็บเล็ตจากจีทูจีเป็นเอ็มโอยู
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ จ.ภูเก็ต นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.ภูเก็ต ในวันที่ 20 มีนาคม จะเสนอเรื่องการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ตามโครงการ One Tablet PC Per Child โดยจะเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจากระบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government) หรือจีทูจี มาเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ซึ่งเป็นไปตามข้อหารือร่วมกันระหว่าง ศธ. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้ง จะเสนอขอต่อคณะกรรมการวัสดุครุภัณฑ์ (กวภ.) โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประมูลผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์ หรืออี-อ๊อกชั่น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ลงนามในเอ็มโอยู และกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้จัดซื้อ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้บริษัทจะจัดซื้อแท็บเล็ตแล้ว โดยพิจารณาจากคณะกรรมการจัดซื้อ โดยจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 20 มีนาคมด้วย
"สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีจัดซื้อจากระบบจีทูจี มาเป็นเอ็มโอยู เนื่องจากการจัดซื้อระบบจีทูจีแต่ละหน่วยงานให้คำจำกัดความไม่เหมือนกัน บางหน่วยงานเห็นว่าต้องเข้มกว่านี้ โดยรัฐบาลจีนต้องเอาแท็บเล็ตมาส่งให้รัฐบาลไทย ซึ่งการจะให้รัฐบาลจีนมารับผิดชอบ และรับประกันบริษัทที่ได้รับเลือกคงทำไม่ได้ แต่รัฐบาลจีนจะคอยช่วยเหลือ และดูแลให้ ที่สำคัญการจัดซื้อด้วยวิธีเอ็มโอยู จะป้องกันการวิ่งเต้นติดสินบนในการประมูลด้วย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าเวลาที่เหลืออีก 2 เดือน จะแจกให้นักเรียนไม่ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 นั้น ผมก็เป็นห่วง แต่จะพยายามทำให้ทัน"นายสุชาติกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปลี่ยนวิธีจัดซื้อ แสดงว่าก่อนหน้านี้มีวิ่งเต้นติดสินบนใช่หรือไม่ นายสุชาติกล่าวว่า ไม่ใช่ แต่หมายความว่าถ้าไม่ซื้อภายใต้รัฐบาลต่อรัฐบาล และให้จัดซื้อภายใน ก็อาจเกิดปัญหาที่คาดไม่ถึง การจัดซื้อในครั้งนี้เป็นโครงการแรกที่มีการจัดซื้อแท็บเล็ตเป็นล้านเครื่อง จึงกลัวว่าจะมีการวิ่งเต้นให้สินบนการซื้อจากการประมูล
ครม.เปลี่ยนวิธีจัดซื้อ'แท็บเล็ต' จาก'จีทูจี'เป็นทำ'เอ็มโอยู'แทน
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.ภูเก็ต ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ตนในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบาย One Tablet Pc per Child เสนอให้ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้นักเรียนชั้น ป.1 จากวิธีการจัดซื้อจากรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี มาเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ส่วนบริษัทจีนที่จะจัดซื้อแท็บเล็ตด้วยวิธีเอ็มโอยูนั้น ทราบว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ข้อสรุปแล้ว ซึ่งไม่ต้องนำเสนอ ครม.เห็นชอบ อีกทั้ง บริษัทที่จะจัดซื้อนั้น รัฐบาลจีนเป็นผู้เสนอรายชื่อมาให้พิจารณา นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบการจัดซื้อแท็บเล็ตโดยไม่ต้องใช้วิธีประมูล
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การจัดส่งเครื่องแท็บเล็ตนั้น ศธ.และไอซีทีอยู่ระหว่างดูความชัดเจนว่าจะทยอยส่งอย่างไร โดยจะส่งล็อตแรกหลังเซ็นเอ็มโอยู 15 วัน อย่างน้อยที่สุด 2,000 เครื่อง หรือมากที่สุด 50,000 เครื่อง เพื่อใช้อบรมศึกษานิเทศก์ และวิทยากรในกรุงเทพฯ 100 คน ในเดือนเมษายน และขยายผลไปสู่ครู ศึกษานิเทศก์ในจังหวัดต่างๆ อีก 15,000 คน แต่เมื่อเปิดภาคเรียน ล็อตที่ 2-3 น่าจะทยอยส่งให้โรงเรียนได้ทันเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ ศธ., ไอซีที และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) มารายงานความคืบหน้า โดยในส่วนของ ศธ.นายกฯ ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในเรื่องเนื้อหาสาระที่บรรจุลงในแท็บเลต โดยให้มีสื่อที่เป็นประโยชน์กับนักเรียนในการเรียนรู้ ไม่จำกัดเฉพาะเนื้อหาของ สพฐ. และอยากให้แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่นักเรียนพกติดตัวไปได้ทุกที่ ฉะนั้น เนื้อหาสาระควรจะส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนชั้น ป.1 นอกจากนี้ สพฐ.จะจัดประกวด e-content และหากครูคนใดจัดทำผลงานได้ดี จะมีผลต่อการประเมินวิทยฐานะ