- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- พ.ร.บ.ปรองดองฯ ตั้งอยู่บนความเสี่ยง 'ขัดแย้ง' ทางการเมืองระลอกใหม่?
พ.ร.บ.ปรองดองฯ ตั้งอยู่บนความเสี่ยง 'ขัดแย้ง' ทางการเมืองระลอกใหม่?
เพียงไม่กี่วันหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อดีตประธาน คมช. ซุ่มเงียบยื่น ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ผ่าน นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2555 จนกระทั่งมีการสั่งบรรจุระเบียบวาระเข้าสู่ การพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎร ทันทีในวันที่ 30-31 พฤษภาคมนี้นั้น
เป็นไปตามคาดหมาย พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ "เรียกแขก" วันนี้เราได้เห็นทั้งแรงต่อต้านและแรงสนับสนุน ส่วนกฎหมายฉบับนี้จะนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติสมชื่อหรือไม่นั้น ในมุมมองของนักสันติวิธี ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เรื่องการปรองดอง ไม่สามารถบังคับให้เกิดได้
ยิ่งหากออกมาในรูปกฎหมายด้วยแล้ว ที่มีนัยยะของการบังคับ กระบวนการ และตัว พ.ร.บ.ก็จะเป็นปัญหาด้วยตัวของมันเอง การปรองดองไม่ใช่ผลของการแพ้ชนะ กระบวนการออกกฎหมายที่เป็นระบบสภาจะมีเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ซึ่งการที่เสียงข้างมากชนะ ไม่ได้นำไปสู่การปรองดอง
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ อธิบายประเด็น "การนิรโทษกรรม" จะทำในรูปแบบอื่นไม่ได้ นอกจากออกเป็นกฎหมาย กล่าวคือ พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เหตุผลดังกล่าวนี้บ่งชี้ว่า เรากำลังพูดเรื่อง "ปรองดอง" และเรื่อง "นิรโทษกรรม" ปะปนกัน ซึ่งองค์ประกอบของการนิรโทษกรรมใน พ.ร.บ.ฉบับนี้มีอยู่ แต่กระบวนการปรองดอง ไม่เห็นว่า มีประเทศใดใช้การบังคับให้ออกเป็นกฎหมาย
"ผมไม่เห็นว่า การใช้กระบวนการแบบนี้จะคลี่คลายและนำไปสู่การปรองดองได้ เพราะในที่สุดจะมีฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะในสภา หากมองในระยะสั้น ประเทศเรามีปัจจัย 'เสี่ยง' อยู่แล้ว ยิ่งการยื่นร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นบนบริบทความขัดแย้งในสังคม ผลก็คงเป็นไปอย่างที่หลายคนคิด ด้วยเพราะมีความเข้าใจไปหลากหลาย เช่น เป็นการปลดล็อคให้ทุกคน และทำให้ศาลหมดความศักดิ์สิทธิ์"
แม้ว่าการสมานฉันท์และปรองดอง จะต้องเป็นสิ่งที่คนในสังคมนี้เห็นพ้องด้วยสูง แต่ร่างที่กำลังส่งเข้าสภาฯ โดยพล.อ. สนธิ ซึ่งมาจากรายงานของสถาบันพระปกเกล้า กลับใช้เวลาน้อยมากในการทำ ขณะที่บางประเทศ การทำรายงานเพื่อนำมาสู่การปรองดอง ถึงแม้จะมีการโหวตในสภาหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ถึง 14 ครั้ง และสัมภาษณ์ถึง 17,000 คน
ประเด็นนี้ นักสันติวิธี มองเห็นถึงความแตกต่าง
"กระบวนการปรองดอง เป็นเรื่องที่จะต้องทำให้คนในประเทศเห็นว่า สำคัญเพียงพอ ถึงจะร่วมกันผลักกระบวนการนี้และเห็นพ้องกันว่า หน้าตาของการปรองดองจะเป็นไปในลักษณะใด แต่ขณะนี้ประเทศเรา มีความขัดแย้งและแตกแยกสูง อีกทั้งยังอิงกับพรรคการเมือง ดังนั้น แม้จะมีกระบวนการและทิศทางในการแก้ปัญหาอยู่ แต่ก็ทำให้เกิดการปรองดองไม่ได้"
เฉกเช่น รูปแบบและหน้าตาของการปรองดอง ในหลายๆ ประเทศ ก็มีหลายแบบ บางประเทศต้องหาความจริงให้ได้ จึงจะนำไปสู่การปรองดอง เช่น แอฟริกาใต้ ที่มีข้อตกลงระบุว่า การปรองดองจะอยู่บนเงื่อนไขที่ "ไม่นำคนผิดมารับโทษ" แต่ต้องเกิดจากการที่คนผิด "รับสารภาพ" ซึ่งทำได้เพราะมีวัฒนธรรมศาสนาคริสต์ คือ การสารภาพบาป
แต่บางประเทศ ก็ไม่ต้องการความจริงก็ปรองดองได้...
จะเห็นได้ว่า แต่ละประเทศล้วนมีเงื่อนไขที่หลากหลาย สำหรับประเทศไทย ศ.ดร.ชัยวัฒน์ เห็นว่า อาจไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขมากมายขนาดนั้น แต่ด้วยเพราะฝ่ายพรรคการเมืองมีเป้าหมายที่แข็งตัวมากเกินไป และเร่งให้เกิด พ.ร.บ.นี้ขึ้น สิ่งที่จะตามมาอาจจะไม่ได้มาในรูปของการปรองดอง
ในที่สุดแล้วอาจเกิดปัญหา หรือความรุนแรงอย่างที่หลายคนเกรงกลัวก็เป็นไปได้!
อย่างไรก็ดี ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.ที่จะมีการเสนอเข้าสภาฯ 4 ฉบับนั้น ฉบับของ นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยและคณะ, ฉบับของนายนิยม วรปัญหา ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และฉบับของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มีเนื้อหาที่คล้ายกัน ต่างจากฉบับของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฝ่ายเสื้อแดง คงไม่ระบุประเด็นให้คนผิดไม่ต้องรับโทษ และคงไม่เห็นด้วยว่า คนผิดไม่ต้องรับผิดรับชอบ
"ร่างของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ฝ่ายเสื้อแดง ก็พูดตรง ที่ว่า จะให้รับร่างอีก 3 ร่างดังกล่าวได้อย่างไร และจะกลับไปมองหน้ามวลชนเสื้อแดงได้อย่างไร ส่วนจะร่างฉบับใดจะได้รับการโหวตโดยเสียงข้างมากนั้น ผมคงตอบไม่ได้ ไม่แน่ใจนัก" ศ.ดร.ชัยวัฒน์ ระบุ พร้อมกับมองว่า กระบวนการเสนอร่าง พ.ร.บ.ครั้งนี้ อาจเป็นการหยั่งเชิงหรือไม่ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และคิดว่าแต่ละฝ่ายคงมีเป้าประสงค์ของตนเอง
แต่สิ่งสำคัญคือจะมีการโหวตกันอย่างไร และที่สำคัญกว่านั้น คือ ท้ายที่สุดแล้ว ผลจะไม่นำไปสู่การปรองดองอยู่ดี
ส่วนคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย นายไพโรจน์ พลเพชร แสดงความเห็นว่า รัฐบาลควรให้ขั้นตอนต่างๆ ยุติลงก่อน จนกว่าการดำเนินการพิสูจน์ความจริง กรณีผู้เสียชีวิต 91 ศพจากเหตุการณ์ทางการเมืองได้ข้อยุติในระดับหนึ่ง และเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ โดยผู้เสียชีวิตควรจะรู้ว่า ใครเป็นฆาตกร และเราจะให้ความเป็นธรรมกับเขาอย่างไร
แต่ขณะนี้ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติฉบับ พล.อ.สนธิ กำลังเข้าสภาฯ ก็เหมือนทุกอย่างกำลังจะจบ เหมือนกับว่า ตกลงกันได้แล้ว "เจ๊า" กันไป "สิ่งที่ต้องคิดคือ การดำเนินการดังกล่าว จะสร้างบรรทัดฐาน หลักนิติธรรมอย่างไรต่อไปให้กับสังคม เมื่อผู้กระทำความผิดลอยนวลทุกครั้ง"
เขาเห็นว่า การปรองดองลักษณะที่ทำอยู่นี้ ไม่สามารถล้างความรู้สึก ความคลางแคลงใจของผู้คนในสังคมได้ เนื่องจากความจริงยังไม่ปรากฏ และทุกอย่างเป็นเพียงข้อกล่าวหา ฉะนั้น จึงเชื่อว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ ความรุนแรงยังไม่สามารถยุติได้
"ไม่ต่างจากกรณี 14 ตุลา 6 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ ที่เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นไม่ได้สามารถหาคำตอบได้ จึงไม่เกิดประโยชน์กับต่อการเรียนรู้ของสังคม ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำ"
เมื่อให้ประเมินผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ที่จะเข้าสภาฯ นายไพโรจน์ มั่นใจร่างดังกล่าว จะผ่านวาระการพิจารณาอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยเสียงข้างมาก อีกทั้งการยกเลิกคดีคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งหมด ก็แสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการผลอะไรในทางการเมือง