- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เอกชนขายของ โชว์ข้อเสนอ ‘รถเมล์’ ยุคปฏิรูป ‘ทำได้’ แลกยืดสัมปทาน
เอกชนขายของ โชว์ข้อเสนอ ‘รถเมล์’ ยุคปฏิรูป ‘ทำได้’ แลกยืดสัมปทาน
ยุคปฏิรูปรถเมล์ไทย 'เอกชน' ขายของรัฐ รับปากนำเข้ารถใหม่วิ่งบริการ ปชช. ติดตั้งเทคโนโลยีทันสมัย มีระบบอีทิคเก็ต สมาคมผู้ประกอบการฯ ยอมรับที่ผ่านมาบริการเเย่ เหตุขาดสภาพคล่อง ต้นทุนไม่สมเหตุสมผล เผยพร้อมรวมกลุ่มเป็นรายเดียวเหมือน ขสมก. ยื่นขอสัมปทาน
นโยบายปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในยุครัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่กำลังสร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ว่าจะถูกมาตรา 44 ยกเลิกสัญญาทุกรายที่ทำไว้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ภายใน 2 ปี ไม่ว่าจะเหลืออายุสัมปทานการเดินรถนานเท่าใด โดยให้ไปรับใบอนุญาตกับกรมการขนส่งทางบกผ่านวิธีการประมูลแทน
ทำให้สมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง ที่มีนางภัทรวดี กล่อมจรูญ เป็นนายกสมาคมฯ พร้อมด้วย 40 จากทั้งหมด 75 บริษัทเอกชน ผู้รับสัมปทานเดินรถ ต้องเข้าพบนายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม เรียกร้องให้รัฐยอมให้สัมปทานการเดินรถแก่ผู้ประกอบการ 7 ปี
การหารือเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอ ภายใต้เงื่อนไขผู้ประกอบการรถร่วมฯ ต้องรวมเป็นผู้ประกอบการรายเดียวเหมือน ขสมก.เพื่อขอสัมปทานการเดินรถ 1 ราย/1 เส้นทาง ป้องกันการแข่งขันทับซ้อน มีอายุ 7 ปี โดยไม่ต้องผ่านการประมูล รวมถึงจะต้องพัฒนาการให้บริการให้มีคุณภาพ
นางภัทรวดี บอกว่า นโยบายที่ชัดเจนขึ้นทำให้หลังจากนี้สมาคมฯ ต้องรีบกลับไปทำการบ้าน จากเดิมที่ไม่กล้าทำอะไร เพราะรัฐยังไม่มีแนวทางปฏิรูปที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากยินยอมให้สัมปทานอายุ 7 ปี รับปากจะนำเข้ารถโดยสารประจำทางคันใหม่ 100 คันแรก ในต้นปี 2561 และครบ 2,000 คัน ภายใน 1 ปี
รถใหม่ทั้งหมดที่นำมาให้บริการประชาชน สมาคมฯ ยืนยันทุกเส้นทาง ให้เป็นระบบไฟฟ้า (eBus) และไฮบริด (Hybrid) ซึ่งมีข้อดีอย่างมาก ทั้งช่วยลดมลภาวะ โดยรถระบบไฟฟ้าลดปริมาณควันดำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซพิษอื่น ๆ ได้ 100% ขณะที่รถไฮบริดจะลดปริมาณควันดำได้ 100% เช่นกัน ส่วน CO2 ลดลงได้ 50% รวมถึงยังช่วยประหยัดน้ำมันด้วย
นอกจากนี้จะติดตั้งและวางระบบที่ทันสมัย โดยติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในรถโดยสาร ระบบติดตามรถโดยสาร (GPS tracking system) ให้รถทุกคัน การตั้งค่าระบบควบคุมรถให้มีความเร็วตามเกณฑ์ควบคุม จัดให้มีศูนย์ควบคุมระบบ มีพนักงานเพียงพอ และปรับปรุงการบริการของพนักงานขับรถให้มีคุณสมบัติที่ดี ตลอดจนปรับเปลี่ยนให้พนักงานได้รับสวัสดิการ
ไม่เพียงเท่านั้น รถโดยสารฯ 2,000 คัน ที่จะนำมาให้บริการนั้น นายกสมาคมฯ ระบุว่า จะมีการกำหนดอัตราค่าบริการให้เลือกในแบบบุฟเฟต์ (เหมาจ่าย) อัตรา 40 บาท ตลอดวัน โดยสามารถขึ้นรถให้บริการในกลุ่มได้ทุกสาย หรือจะเลือกจ่ายในอัตรา 20 บาท/ครั้ง/ตลอดสาย
ตลอดจนมีระบบตั๋วอีทิคเก็ต (e-ticket system) มีบริการ WIFI และแอปพลิเคชันให้ข้อมูลการเดินรถ รวมถึงสามารถจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย และจัดให้มีช่องทางรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ
“แนวทางของสมาคมฯ ที่จะดำเนินในอนาคตนั้น ปัจจุบันยอมรับทำไม่ได้ เพราะต้นทุนการดำเนินธุรกิจไม่สมเหตุสมผล อัตราค่าโดยสารไม่เป็นไปตามกลไกตลาด จึงขาดสภาพคล่อง จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการย่ำแย่” นางภัทรวดี กล่าว
ขณะที่มุมมอง “ดร.สุเมธ องกิตติกุล” นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ไม่เห็นด้วยที่จะให้สัมปทานแก่รถร่วมฯ อายุ 7 ปี เพราะจะตอบคำถามประชาชนไม่ได้ว่า เหตุใดต้องได้ และหากวันหนึ่งคุณภาพการให้บริการตกต่ำจะขอถอนใบอนุญาตได้หรือไม่ ดังนั้นกรณีที่ผู้ประกอบการยังเหลือระยะเวลาเดินรถ ต้องอนุญาตให้ดำเนินการต่อไป แต่ควรมีระยะเวลากำหนดชัดเจน
ทั้งนี้ นโยบายปฏิรูปรถโดยสารประจำทางเป็นข้อเสนอที่ร่วมกันจัดทำมาเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งเงื่อนไขจะให้อำนาจในการกำกับดูแลมาอยู่ที่กรมการขนส่งทางบกแท้จริง จากเดิมกำกับดูแลผ่าน ขสมก. ในฐานะผู้รับใบอนุญาตรายเดียว จะต้องยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 11 ม.ค. 2526 เสียก่อน เพื่อจะได้มีอำนาจในการให้ใบอนุญาตกับผู้ประกอบการเอกชนรายใดก็ได้ รวมถึง ขสมก. ซึ่งถือเป็นผู้รับใบอนุญาตรายหนึ่ง
“การดำเนินการ 5 ปีที่ผ่านมา มีความเชื่อระดับหนึ่งว่า ระบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะสร้างกำไร และช่วยพลิกฟื้นหนี้ที่มีอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท จนคืนทุนและเป็นองค์กรที่มีกำไร แต่ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากรัฐกำหนดอัตราค่าโดยสารต่ำ ทำให้ต้องอุดหนุน แน่นอนว่า จะทำกำไรไม่ได้”
นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ความล่าช้าในการยกเลิกมติครม.ฉบับดังกล่าว เพราะรัฐมีความเชื่อเช่นนั้น แต่ข้อเท็จจริงทำไม่ได้ เพราะลักษณะโครงข่ายการเดินรถ แม้จะมีเส้นทางทำกำไร แต่ยังมีเส้นทางขาดทุนอยู่ ทำให้หาผู้ประกอบการค่อนข้างยาก ดังนั้น 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นภาพ หากไม่เร่งปฏิรูป จะพัฒนาระบบไม่ได้ จึงต้องมีแนวคิดปฏิรูป เปิดให้เอกชนเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนด และให้ขสมก.ฟื้นฟูสถานะการเงินด้วย
“ให้ขสมก.เป็นผู้ประกอบการรายหนึ่ง และให้ผู้ประกอบการเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมด้วย โดยมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้น เพราะปัจจุบันเห็นภาพว่า ย่ำแย่ขนาดไหน เนื่องจากขาดการควบคุม ซึ่งหากเข้มงวดจับจริง จะพบว่า รถร่วมฯ มากกว่าครึ่งหนึ่งต้องหยุดเดินรถ” ดร.สุเมธ กล่าวในที่สุด
การปฏิรูปรถโดยสารประจำทางจึงต้องชัดเจน เพื่อเป็นเเนวทางให้ผู้ประกอบการรับมือ เกิดความเชื่อมั่น และหาแหล่งเงินทุนมาดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ได้อย่างมีคุณภาพได้ โดยไม่ตกเป็นจำเลยสังคมต่อไป .
อ่านประกอบ:คมนาคมยอมให้สัมปทาน 7 ปี รถร่วมฯ ใต้เงื่อนไขรวมผู้ประกอบการรายเดียวเหมือน ขสมก.