- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- "ขิงแก่"เปิดตัวหนังสือ บันทึกการเมืองหลังปฏิวัติ
"ขิงแก่"เปิดตัวหนังสือ บันทึกการเมืองหลังปฏิวัติ
"ไม่ว่าสังคมจะประเมินคุณค่าของรัฐบาลขิงแก่ไว้อย่างไร หากแต่ต้องยอมรับว่า นี่คือรอยต่อในบ้านเมืองของเราที่ไม่อาจปฏิเสธหรือมองข้ามไปเสีย ขั้วอำนาจก่อนรัฐประหารมองว่า รัฐบาลขิงแก่เป็นผลพวงจากรัฐประหาร การก่อหวอดเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเวลานั้น ขณะที่ขั้วอำนาจตรงกันข้ามกับขั้วแรกกลับมองว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลขิงแก่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การรัฐประหารแทบจะไร้ค่า และเป็นชนวนหนึ่งที่นำมาสู่วิกฤติของบ้านเมืองในวันนี้"
นี่คือข้อความบนโปรยปกหนังสือที่ชื่อ "บันทึกรัฐมนตรีหญิง...ว่าด้วยการเมืองหลังรัฐประเหาร 19 กันยาฯ" ซึ่งเขียนโดย คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "ขิงแก่" เพื่อบอกเล่าความจริงในทุกๆ แง่มุมของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และวิกฤตการณ์การเมืองไทยภายหลังกองทัพตัดสินใจยึดอำนาจและโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เนื้อหาในหนังสือ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนแรกเป็นเส้นทางชีวิตและประสบการณ์การทำงานของคุณหญิงทิพาวดีที่เริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในองค์กร เป็นปลัดกระทรวง 2 กระทรวง และยังได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์
สำหรับเนื้อหาในส่วนที่ 2 เป็นบันทึกเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงรัฐบาลขิงแก่ และสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยไฮไลท์ของหนังสืออยู่ในบทที่ว่าด้วยเบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลขิงแก่ อุปสรรคปัญหาการทำงาน แรงกดดันจากทั้งในและนอกประเทศที่ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหาร รวมถึงบทสัมภาษณ์อดีตรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอีก 5 คน คือ นายธีระ สูตะบุตร นายนิตย์ พิบูลสงคราม นายปิยสวัสดิ์ อมระนันทน์ นพ.มงคล ณ สงขลา และนางอรนุช โอสถานนท์ ที่พร้อมใจกันเปิดเผยเรื่องราวลึกๆ และเบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆ ต่างๆ หลายเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏเป็นข่าว
ในบทที่ชื่อ "ขิงแก่ไม่เผ็ด...ครม.กรรมบันดาล" คุณหญิงทิพาวดีอธิบายความยากของการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลหลังการรัฐประหาร ซึ่งรัฐมนตรีเกือบทุกคนเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง ได้รับการทาบทามให้เข้าดำรงตำแหน่งโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า และสรุปว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลขิงแก่ทำงานยาก เพราะต้องใช้กลไกกติกาปกติ เนื่องจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) สลายอำนาจอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการถูกต่อต้านจากประชาชน และประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ไม่ต่างกับกติกาเดิม
"ปัดโธ่เอ๋ย! ก็ถ้าจะให้ทุกอย่างเหมือนเดิมต่อไป แล้วมาทำรัฐประหารทำไมล่ะ ฉันล่ะกลุ้มจริงๆ ก็ไหนบอกว่าบ้านเมืองมีปัญหามาก ซึ่งก็ต้องหมายความว่า เจ้ากติกาเดิมๆ ส่วนใหญ่มันมีปัญหาต้องแก้ไขใช่ไหม ต้องมาสร้างระบบกันใหม่ใช่ไหม แล้วทำไมจึงคิดกันเพียงให้มันง่ายๆ โดยบอกให้ใช้กฎหมายและกติกาเดิมต่อไปก็แล้วกันนะ แค่นี้ก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว นี่คือกลัดกระดุมผิดรูตั้งแต่เม็ดแรก..."
ปัญหาใหญ่ของการทำงาน คุณหญิงทิพาวดี วิเคราะห์ว่ามาจาก 2-3 ปัจจัย คือ ข้าราชการส่วนหนึ่งเกียร์ว่าง เพราะรัฐบาลประกาศตั้งแต่ต้นว่าจะอยู่แค่ปีเดียว และปัจจัยที่เธอให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษคือบทบาทของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งสมาชิกส่วนหนึ่งเล่นการเมืองมากเกินไป
"ลีลาการอภิปรายหลายๆ ครั้ง หลายๆ คนก็เลยเหมือน ส.ส.ที่ต้องด่าว่ากระแทกกระทั้น ครม. พวกเราที่เป็น ครม.ก็เลยพิศวงกันว่าพวกนี้เป็นอะไรไป เขาคิดอะไรอยู่ เขากำลังซ้อมบทเป็น ส.ส.ตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย ทั้งๆ ที่บางคนเป็นปลัดกระทรวง แต่กลับลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์งานในกระทรวงของตัวเอง ต่อว่ารัฐมนตรีของกระทรวงตัวเอง ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีก็นั่งหัวโด่อยู่ข้างบน"
แต่ถึงที่สุดแล้วเธอมองในแง่ดีว่า ทั้งหมดนั้นทำให้นโยบายและกฎหมายต่างๆ ที่ออกในรัฐบาลขิงแก่ ล้วนผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และไม่มีการฮั้วกันระหว่างรัฐบาลกับสภานิติบัญญัติ
เนื้อหาที่เป็นไฮไลท์อีกส่วนหนึ่ง คือคำอธิบายที่ว่าเหตุใดรัฐบาลขิงแก่จึงไม่จัดการหรือบดขยี้ "ระบอบทักษิณ" ให้สิ้นซาก
"หลายเสียงวิจารณ์ว่า ครม.ใจดีเกินไป ที่สำคัญคือใจดีกับระบอบทักษิณ อันที่จริงเรื่องนี้ฉันเข้าใจว่า ครม.แต่ละคนล้วนเคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาก่อน เห็นโลกมาเยอะ ทุกคนผ่านความเจ็บปวด ความไม่ถูกต้อง ขมขื่นจากการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมามากบ้างน้อยบ้าง เราจึงไม่อยากให้เกิดกับลูกน้องของเราอีก เราแทบไม่ได้ย้ายหรือต่อว่าข้าราชการประจำเลย บางกรณีเรากลับถูกข้าราชการประจำวางยาหรือปล่อยข่าวด้วยซ้ำไป" คุณหญิงทิพาวดีอธิบาย
ขณะที่ในบทสัมภาษณ์ นายนิตย์ พิบูลสงคราม อดีต รมว.ต่างประเทศ ได้เล่าถึงความยากลำบากในการทำงานด้านการต่างประเทศ และการเพิกถอนพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ
"กรณีพาสปอร์ตแดงของคุณทักษิณ บอกว่าต้องทำจริงจัง แล้วจริงจังคืออะไร อำนาจไม่ได้อยู่ในมือผมทีเดียว มันมีเงื่อนไขที่ละเอียดอ่อน ซึ่งผมจะออกมาชี้แจงทั้งหมดก็ไม่ได้ แรงกดดันจึงรุนแรงพอสมควร...ผมมีปัญหาปะทะคารมกับประเทศหนึ่ง อย่างนี้ก็แล้วกัน ประเทศนี้มีฝ่ายค้านคนเดียวน่ะ ที่ผมมีปัญหาเพราะเขาเชิญอดีตนายกฯทักษิณไปทานข้าว แล้วแจ้งผมว่าเป็นการเชิญส่วนตัว ผมถามว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร ของแบบนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ คนรู้จักกัน แต่สุดท้ายคนไทยกลับมาสงสัยผมอีก บอกผมไม่ได้พูดจริง ถามว่าผมจะโกหกทำไม”
และอีกตอนหนึ่งว่า "สื่อบางลักษณะมีข้อคิดเห็นแตกต่างในเรื่องต่างประเทศ คนที่นิยมฝรั่งก็วิจารณ์รัฐบาลว่ามาจากการปฏิวัติ ก็เป็นการจุดไต้ตำตออยู่แล้ว ลำบาก แต่ที่หนักที่สุดคืองานด้านการต่างประเทศแท้ๆ เพราะว่าอียู (สหภาพยุโรป) ออกมาจวกรัฐบาล"
เนื้อหาอีก 2 บทใหญ่ๆ เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับวิกฤติไอทีวี และผลักดันให้เกิดทีวีสาธารณะขึ้นในประเทศไทย มีเหตุการณ์ที่ คุณหญิงทิพาวดี ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากสื่อมวลชน ตลอดจนเบื้องหลังการสู้คดีบนศาลปกครองและการยกร่างกฎหมายกระทั่งมี "ทีวีไทย" ในวันนี้
ในบทท้ายๆ ของหนังสือ คุณหญิงทิพาวดีได้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งเธอมองว่าเป็น "วิบากกรรมของคนไม่มีข้าง" ท่ามกลางบรรยากาศการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และผลักไสคนที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งเป็นศัตรู ถือเป็นภาวะอันตราย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมองย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทยในห้วง 5-6 ปีที่ผ่านมาด้วยความเข้าใจ เพื่อช่วยกันนำพาประเทศชาติสู่บรรยากาศสมานฉันท์และสันติสุข
ปิดท้ายด้วยนัยยะสำคัญที่ส่งผ่านตัวหนังสือของเธอว่า...ประเทศไทยมีปฏิวัติอีกไม่ได้แล้ว!