- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เปิดพิมพ์เขียวพัฒนาการศึกษาที่ทำให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น
เปิดพิมพ์เขียวพัฒนาการศึกษาที่ทำให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น
เห็นเป็นรูปธรรมชัด พ.ค.53 นำร่องโรงเรียนดี 3 ระดับ 1 หมื่นโรงก่อน จุรินทร์ ชี้เป็นหลักสูตรที่ลดเนื้อหาสาระวิชาที่เรียนลง 30 % คาดจะทำให้เด็กมีโอกาสเรียนนอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักถึงแนวทางพัฒนาการศึกษาที่ทำให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็นมากขึ้น ว่า ที่ประชุมได้มีมติให้ปรับนโยบายกระบวนการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ระดับประถมไปกระทั่งจนถึงมัธยมศึกษาปลาย เพื่อให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็นเพิ่มขึ้นและสอนท่องจำเท่าที่จำเป็น ซึ่งมีข้อสรุปในแนวปฏิบัติที่ชัดเจนแล้ว คือ จากนี้ไปในเรื่องของหลักสูตร จะใช้หลักสูตรใหม่ในปีการศึกษา 2553 โดยจะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2553 และหลักสูตรที่จะนำไปสู่การสอนให้เด็กวิเคราะห์เป็นเพิ่มขึ้นนั้น ก็จะเป็นหลักสูตรที่ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาสาระวิชาที่เรียน ซึ่งจะลดลงประมาณร้อยละ 30นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตัวชี้วัดที่มีอยู่ 3,000–4,000 ตัวชี้วัด ในช่วงเวลาเรียน 12 ปีของการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น จะปรับลดเหลือแค่ 2,165 ตัวชี้วัดเท่านั้น ผลจากการตัดเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนและปรับลดตัวชี้วัดนี้ไม่ทำให้คุณภาพลดลง แต่จะมีผลดีในการทำให้เด็กมีโอกาสเรียนนอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น โดยการเรียนนอกห้องเรียนจะเน้น 3 ส่วน ได้แก่
1. ทุกโรงเรียนจะต้องหาแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ที่จะนำไปสู่การเรียนนอกห้องเรียน เพราะทุกโรงเรียนจะมีแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษาของตัวเอง เช่น สวนครัว หรือแม้แต่เสาธงก็เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญได้ ทั้งการเรียนเรขาคณิต ประวัติศาสตร์ และวิชาอื่นๆ หรือสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียน 2. แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งทุกโรงเรียนต้องมีข้อสรุปว่า ในท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่นั้นมีแหล่งเรียนรู้อะไรบ้าง รวมไปถึงวัฒนธรรม ประเพณี เรื่องราวของท้องถิ่น และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสไปเรียนรู้นอกห้องเรียนและสัมผัสกับความเป็นจริงมากขึ้น 3. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เช่น กิจกรรมค่าย ทัศนศึกษา ศิลปะ ดนตรี ชมรมต่างๆ ทุกโรงเรียนจะต้องออกแบบและมีข้อสรุปว่า ต่อจากนี้ไปจะมีกิจกรรมอะไร อย่างไรบ้าง ซึ่งโครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพจะมีส่วนสำคัญในการเข้าไปช่วยเสริมในเรื่องของค่าใช้จ่าย
รมว.ศธ. กล่าวว่า กระบวนการเหล่านี้จะนำไปสู่การปรับตารางสอน จากปัจจุบันที่เรียนอยู่ประมาณ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็จะมีข้อสรุปตามมาว่า ในแต่ละโรงเรียนนั้นจะเรียนในห้องเรียนลดลงเหลือกี่ชั่วโมง และจะเป็นการเรียนนอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น นอกจากเด็กจะรู้ด้านวิชาการแล้ว เด็กก็จะคิดวิเคราะห์เป็นมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพต่อไป
ส่วนกระบวนการปรับการเรียนการสอนเพื่อนำไปสู่การคิดวิเคราะห์นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า จะแบ่งเป็น 2 ระดับ โดยสอนให้คิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานเป็น และสอนให้คิดวิเคราะห์ระดับสูงเป็น สำหรับการคิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานนั้น จะเน้นในช่วงชั้นที่ 1 และ 2 คือ ประถมศึกษาชั้นปีที่ 4-6 ส่วนการวิเคราะห์ระดับสูงจะอยู่ในช่วงชั้นที่ 2-3-4 ตัวอย่างการคิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน เช่น ความสามารถในการสื่อสาร การรู้จักสังเกต รู้จักสำรวจ ค้นหา เปรียบเทียบ และคัดแยกเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ได้ ส่วนการคิดวิเคราะห์ระดับสูงนั้น เช่น สามารถนิยาม วิเคราะห์ สังเคราะห์ แก้ปัญหา ตัดสินใจ และคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ เป็นต้น
รมว.ศธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น 2 เรื่อง ดังนี้ 1) กระบวนการเรียนการสอน จะต้องเน้นสอนให้เด็กสามารถเขียนเรียงความ ย่อความเป็น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าขาดหายไปมาก ถ้าคิดวิเคราะห์เป็นก็จะเขียนเรียงความและย่อความเป็น เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน2) ข้อสอบของ สพฐ. ต่อไปนี้จะมีข้อสอบอัตนัยเข้ามารวมกับปรนัยด้วย ไม่ได้เน้นเพียงปรนัยอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยให้ทุกอย่างเป็นกระบวนการเดียวกันได้ ซึ่งได้มอบให้ สพฐ.ประสานงานกับ สทศ. เพื่อให้ข้อสอบ O-net ของ สทศ.สอดคล้องกับกระบวนการเรียนการสอนของ สพฐ.
“นอกจากนั้น จะมีการเน้นเรื่องการแนะแนวด้วย เริ่มทั้งในระดับปฐมวัย ปฐมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ในรูปแบบของครูที่ปรึกษา โดยในแต่ละระดับวัยของเด็ก จะมีรายละเอียดของการแนะแนวที่แตกต่างกันออกไป ส่วนในเรื่องของการแนะแนวการเรียนว่าเด็กควรจะไปทางไหน เพื่อให้เด็กสามารถค้นพบความถนัดของตัวเอง ว่าควรจะเรียนต่อที่ไหน อย่างไร โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นชั้นปีที่ 1เป็นอย่างช้า ซึ่งภาพรวมทั้งหมดจะเป็นรูปธรรม ในปีการศึกษา 2553ในทุกโรงเรียนของ สพฐ. โดยจะให้โรงเรียนดี 3 ระดับ จำนวน 10,000 โรง เป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนา เพื่อขยายผลในอัตราเฉลี่ย1 : 3 ในปี 2554 ต่อไป”