- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ธงทอง จันทรางศุ” เปิด 4 โจทย์ใหญ่ท้าทายการศึกษาขั้นพื้นฐาน
“ธงทอง จันทรางศุ” เปิด 4 โจทย์ใหญ่ท้าทายการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เปรียบปฏิรูปการศึกษาเหมือนอยู่ในสนามรบ จะแพ้หรือชนะคำตอบอยู่ที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน เชื่อพื้นฐานไม่ดี ไม่ต้องพูดถึงอาชีวะศึกษาหรืออุดมศึกษา แนะปฏิรูปรอบ 2 ต้องเน้นคุณภาพ “คนไทย-ครู-สถานศึกษา-การบริหารจัดการ”
วันนี้ (22 ม.ค.) เวลา 10.00น. รศ.ดร.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาวิชาการ "กระบวนการและปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้น ฐาน" จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมภาณุรังษีซี โรงแรมรอยัลริเวอร์ โดยได้กล่าวถึงปัญหาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานในปัจจุบันพบว่ามีหลาย โรงเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จากคะแนนสอบของนักเรียนมีเด็กที่เก่งเป็นเลิศระดับโลก เมื่อดูคะแนนเฉลี่ยรวมแล้วสอบตกหมด แสดงให้เห็นว่า มีเด็กที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวนมากกว่าที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศ
รศ.ดร.ธงทอง กล่าวว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมีโจทย์ใหญ่ท้าทาย คือ 1.จะบริหารจัดการพัฒนาอย่างไรกับโรงเรียนขนาดเล็กที่ขณะนี้มีสถานะไม่ตายและ เลี้ยงไม่โต การกำหนดการบริหารเฉพาะที่ไม่เหมาะกับพื้นที่ โดยต้องคำนึงถึงสภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละโรงเรียนด้วย 2.คุณภาพของครู ปัจจุบันมีครูที่มีปัญหาจำนวนไม่น้อย ซึ่งการพัฒนาครูโดยการอบรมเป็นแค่คำตอบเชิงเดี่ยว 3.ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนพื้นฐานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ในระดับต่างๆ ที่ท้องถิ่นได้รับงบประมาณ 25-30% จากภาษีอากร มีกว่า 7,000 องค์กรแต่มีแค่ 300-400 องค์กรที่เป็นเจ้าของสถานศึกษา จะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น และ 4.จะสร้างเทคนิคการบริหารจัดการโรงเรียนต่างๆ อย่างไร ทั้งด้านการนิเทศงาน ความสัมพันธ์กับท้องถิ่น
สำหรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง รศ.ดร.ธงทอง กล่าวว่า ขณะนี้มีโจทย์ว่าภายใน 9-10 ปีอยากเห็นคนไทยเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีการเปลี่ยนแปลง ใหม่ ซึ่งคุณภาพนี้จะต้องมีประเด็นพิจารณา คือ 1.คุณภาพของคนไทยและคุณภาพของการศึกษาโดยรวม 2.คุณภาพของครู ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจนกับประเด็นแรก 3.คุณภาพของสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เรื่องนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษ และ4.คุณภาพของการบริหารจัดการศึกษา
“การศึกษาโดยรวมนั้นเชื่อว่าสนามรบที่ใหญ่ที่สุดคือพื้นฐานการศึกษา สำหรับอุดมศึกษา อาชีวศึกษาไม่ใช่ว่าจะราบรื่น เพียงโจทย์ของทั้งสองนั้นไม่ซับซ้อนและมีผู้เกี่ยวข้องเท่ากับการศึกษาขั้น พื้นฐาน หากนับหน่วยของสถานศึกษาของรัฐก็หลายหมื่นแห่ง จำนวนนักเรียนหลายล้านคน ฉะนั้นการปฏิรูปการศึกษารบแพ้หรือชนะนั้น ถ้าพื้นฐานไม่ดีนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอาชีวะศึกษาหรืออุดมศึกษาในวันข้างหน้า”
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า วันนี้เรากำลังพยามยามปรับตัวเข้ากับกระแสโลกในทุกเรื่อง แต่เวียดนามกำลังหายใจรดต้นคอ เห็นชัดจากซีเกมส์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นเรื่องกีฬาแต่ก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ในการแข่งขันที่ไม่ได้มีเราเพียงลำพัง ต้องกลับมาคิดว่าจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์แบบนั้น ดังนั้นการศึกษาขั้นพื้นฐานถือเป็นแนวรบแตกหักที่ต้องปรับปรุง
ด้าน ศ.ดร.สุวิมล ว่องวาณิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าคณะวิจัย เรื่อง “การวิเคราะห์กระบวนการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนภายหลังการประเมินภายนอกรอบ แรก” กล่าวถึงผลการวิจัย พบว่า โรงเรียนที่มีผลการประเมินการศึกษารอบแรกที่อยู่ในระดับต้องปรับปรุง หรือโรงเรียนกลุ่มเร่งรัดการพัฒนาร้อยละ 70 มี การเปลี่ยนแปลงจากระดับปรับปรุงเป็นระดับดี ซึ่งเน้นการพัฒนาครู การคิดค้นวิธีการพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการแนวใหม่ และการพัฒนาหลักสูตรตามลำดับ โดยการพัฒนาครูเน้นการอบรมมากที่สุด ส่วนการพัฒนาการบริหารจัดการโรงเรียนนั้นพบส่วนใหญ่ใช้การบริหารแบบมีส่วน ร่วม
“พบกลุ่มโรงเรียนเร่งรัดการพัฒนา และกลุ่มโรงเรียนที่มีผลในระดับดีหรือพอใช้หรือโรงเรียนกลุ่มปกตินั้นจะมี การพัฒนาโรงเรียนโดยการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ครู กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานเอกชนต่างๆ ค่อนข้างมากแต่ไม่ร่วมพัฒนาอย่างจริงจังนัก และพบอีกว่าองค์กรต้นสังกัดของโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และอปท.ให้ความช่วยเหลือโรงเรียนตามลำดับ”
ศ.ดร.สุวิมล กล่าวว่า จากการวิจัยนี้ทำให้เกิดข้อเสนอหลักๆต่อกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ 1.กระทรวงควรประสานกับสถาบันการผลิตครูจัดทำแผนความต้องการกำลังครู 2.ควรกำหนดระเบียบหลักเกณฑ์การขอโอนย้ายของผู้บริหารและครูให้ชัดเจน อาจต้องมีการเลือกพื้นที่ก่อนสอบบรรจุครู และมีการทำสัญญาปฏิบัติงานตามเวลาที่กำหนดในพื้นที่ที่ยื่นสมัคร 3.ต้องสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีการศึกษาช่วยสอน แทนครูมากขึ้นโดยเฉพาะการศึกษาผ่านดาวเทียมทางไกลจากโรงเรียนไกลกังวล 4.การจัดเงินอุดหนุนโรงเรียนขนาดเล็กควรพิจารณาจากสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกัน คำนึงถึงความจำเป็นของโรงเรียนไม่ยึดมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด 5.ควรประสานความร่วมมือของบประมาณจากอปท.มาสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็ก และ6.ควรร่วมมือกับอปท.พัฒนาศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียนทั้งเด็กปกติและเด็ก พิเศษ ให่มีความพร้อมทั้งครูพี่เลี้ยงและอื่นๆ ให้มากขึ้น
สำหรับงานวิจัยนี้ ศ.ดร.สุวิมล กล่าวอีกว่า ศึกษาจาก 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาในเชิงปริมาณสำรวจโดยใช้แบบสอบถามสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนกลุ่ม เร่งรัดการพัฒนา 596 โรงเรียน และโรงเรียนกลุ่มปกติ 890 โรงเรียนซึ่งกระจัดทั่วประเทศ และระยะที่ 2 ศึกษาเชิงคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนกรณีศึกษา 43 โรงเรียนจาก 16 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ชัยภูมิ สกลนคร ขอนแก่น นครราชสีมา สมุทรปราการ นนทบุรี จันทบุรี สระบุรี อ่างทอง อยุธยา สงขลา นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร ด้วยการศึกษาสัมภาษณ์เชิงลึกในเดือนม.ค.-ส.ค.ปี 2552