- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ภาวิช”หนุนแยกสกอ.ตั้งกระทรวงอุดมศึกษาใหม่
“ภาวิช”หนุนแยกสกอ.ตั้งกระทรวงอุดมศึกษาใหม่
รศ.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และอดีตประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการ กกอ.เมื่อเร็วๆ นี้ ให้แยก สกอ.ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งเป็น “กระทรวง” ต่างหาก เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการอุดมศึกษานั้น การแยก สกอ.ออกมาเป็นกระทรวง ไม่ขัดแย้งกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง เพราะต้องดูว่าการรวมกันอยู่ใน ศธ.อาจมีผลเสียกับการบริหารงาน เพราะเดิม ศธ.มีเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการอาชีวศึกษา ซึ่งขณะนี้ชัดเจนว่าการอาชีวศึกษากลายเป็นจุดอ่อนของประเทศ มีผู้สนใจเข้าเรียนน้อย เป็นต้น
“เป้าหมายของการอุดมศึกษา และการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่เหมือนกัน การศึกษาขั้นพื้นฐานเน้นให้คนอ่านออกเขียนได้ แต่การอุดมศึกษาเน้นการผลิตบุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่สำคัญอุดมศึกษามีหน้าที่สร้างองค์ความรู้ให้แก่สังคม คืองานวิจัยและพัฒนา เพราะหากไปดูประเทศอื่นๆ เช่น ในยุโรป ทุกประเทศปลดปล่อยอุดมศึกษา”รศ.ภาวิช กล่าว
รศ.ภาวิช กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หากดูรูปแบบของการจัดการอุดมศึกษาทั่วโลก จะพบว่ามี 3 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่ 1.มหาวิทยาลัยไม่สังกัดกระทรวงใดทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ แต่จะมีคณะกรรมการกลางขึ้นดูแล ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรให้กับมหาวิทยาลัย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น 2.ตั้งเป็นกระทรวงต่างหาก เช่น ประเทศอิตาลี ตั้งเป็นกระทรวงมหาวิทยาลัยและการวิจัย และประเทศฝรั่งเศส ตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษา เป็นต้น และ 3.รวมอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ เช่นเดียวกับที่ สกอ.รวมอยู่ใน ศธ.ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้ว จะนิยมใช้รูปแบบที่ 1 และ 2
“ผมอยากเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของแพทย์ ซึ่งการที่แพทย์จะรักษาผู้ป่วย จะต้องดูที่หน้าที่ และโครงสร้าง เพราะอวัยวะจะหน้าที่ได้ ต้องถูกออกแบบให้เหมาะสม เช่นเดียวกับการปฏิรูปการศึกษา ถ้าจะบอกว่าต้องปฏิรูปครู ปฏิรูปการเรียนการสอน ฯลฯ แต่โครงสร้างของหน่วยงานไม่เหมาะสม ก็ทำไม่ได้”รศ.ภาวิช กล่าว
ด้าน ศ.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ และคุณภาพของตัวเด็กเป็นหลัก ถ้าการปฏิรูปการศึกษาไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เข้มแข็ง และมีคุณภาพได้ ก็จะปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จ ฉะนั้น หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาจึงอยู่ที่การปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปครู ปฏิรูปผู้เรียน และปฏิรูปการบริหารจัดการเป็นหลัก ส่วนการปฏิรูปโครงสร้างจะส่งผลกับตัวผู้บริหารมากกว่า จึงไม่อยากให้เสียเวลากับการปรับปรุงโครงสร้างมากนัก เพราะในการปฏิรูปการศึกษารอบแรก บุคลากรใน ศธ.ต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้าง และสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง ขณะนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว ถ้าคิดเรื่องการปรับปรุงโครงสร้าง ศธ.ใหม่ จะทำให้เสียเวลาอีก
“ถ้าปรับปรุงโครงสร้างอีก จะทำให้เสียเวลา เพราะผู้บริหารก็มัวพะวงกับการปรับโครงสร้าง การพัฒนาครู และนักเรียน ก็จะถูกละเลยเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมาทะเลาะกันเรื่องโครงสร้าง น่าจะมาทะเลาะกันว่าจะทำให้เด็กเป็นอย่างไร พัฒนาไปทางไหน เพื่อตอบสนองแนวทางการพัฒนาประเทศ”ศ.ไพฑูรย์ กล่าว