- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เสมา1ชูแผนศูนย์กลางการศึกษาอาเซียน ผลักดันมหาวิทยาลัยไทยสู่ระดับโลก
เสมา1ชูแผนศูนย์กลางการศึกษาอาเซียน ผลักดันมหาวิทยาลัยไทยสู่ระดับโลก
‘ชินวรณ์’ ลั่นปี 58 เด็กทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งขยายความร่วมมือยูเนสโก-ซีมีโอ-อาเซียนผลักไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค เผยเตรียมเชิญนายกฯ เดินเครื่องประชุมปฏิรูปการศึกษารอบ2นัดแรก
วันนี้ (4 ก.พ.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมและทิศทางของประเทศไทยด้านการศึกษาสู่การเปิดกว้างของการเรียนรู้แบบไร้พรมแดนภายใต้ข้อตกลงอาฟต้า ในการบรรยายพิเศษ ณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พญาไท ว่า ประเทศไทยพร้อมเป็นแกนหลักขับเคลื่อนให้กว่า 600 ล้านคนในอาเซียนบรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชน ซึ่งต้องส่งเสริมการสร้างความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และภาษา ร่วมมือกันสร้างทุกระดับตั้งแต่การศึกษาปฐมวัยถึงมหาวิทยาลัย
นายชินวรณ์ กล่าวถึงทิศทางการศึกษาของประเทศไทยว่า ต้องยกระดับมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยมอบหมายให้เลขาธิการการอุดมศึกษาวางแผนเตรียมยุทธศาสตร์นี้แล้ว จากนั้นจะขยายความร่วมมือกับยูเนสโกในการส่งเสริมการจัดการศึกษาตามปริญญาสากลว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน ซึ่งรับรองว่าภายในปี 2558 เด็กทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กด้อยโอกาส เด็กชายขอบ หรือเด็กกลุ่มน้อยต่างเชื้อชาติ รวมทั้งจะร่วมมือกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันนออกเฉียงใต้ (SEAMEO) และอาเซียนเพื่อตั้งศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ด้านต่างๆ ในภูมิภาคด้วย
“วันนี้มีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในไทยประมาณ 1 แสนคน ประมาณว่าใช้จ่ายต่อปีคนละ 3 แสนบาทก็จะมีเงินเข้าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่คนไทยไปเรียนต่างประเทศ 1 ล้านคนใช้จ่ายต่อปีคนละ 1 ล้านบาท ฉะนั้นต้องจ่ายไป 1 ล้านล้านบาท ยิ่งมีความจำเป็นที่ต้องให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค”
รมว.ศธ.กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มักเลือกเรียนต่อด้านแพทย์และวิศวกรรมมากกว่าเรียนต่อในสายวิทยาศาสตร์ เรื่องนี้ปีหน้าจะมีการสร้างแรงจูงใจเป็นพิเศษให้เด็กที่เรียนวิทยาศาสตร์ เช่น การให้ทุนเรียนต่อปริญญาโท เพื่อให้เด็กไทยหันมาเรียนวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันมีเรื่องน่าดีใจ คือ เวลานี้ในประชาคมโลกไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการจัดการศึกษามีเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ ซึ่งต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป
สำหรับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการความพร้อมการเรียนรู้เพื่อร่วมกันภายใต้ข้อตกลงอาฟต้านั้น รมว.ศธ. กล่าวว่า ส่วนเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยโดยตรงมี 3 เรื่อง 1.ต้องยกระดับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้เป็นการศึกษาที่ต้องมีงานทำ พัฒนาอาชีพ และส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมก้าวเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก 2. ยกระดับเครือข่ายสารสนเทศทางการศึกษาให้มีการใช้สารสนเทศเป็นเครือข่ายระดับชาติ (NEDNet : National Education Network)ให้เป็นวาระแหง่ชาติ จากเดิมโครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา(UniNet) และ3.ให้มหาวิทยาลัยส่งเสริมการสอนเรื่องความเป็นพลเมือง(Civic education) ให้เด็กใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา
“ที่ผ่านมาไทยไม่มีการสอนเรื่องนี้ ไม่ได้สอนให้เด็กเคารพกติกาและเคารพผู้อื่น ไม่ได้สอนให้เด็กเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ขณะเดียวกันจะส่งเสริมให้โรงเรียนจุฬาภรณและโรงเรียนกาญจนาภิเษกเปิดห้องเรียนวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น ส่วนโรงเรียนเอกชนใดจะสนับสนุนเปิดห้องเรียนวิทยาศาสตร์กระทรวงก็จะสนับสนุนเป็นพิเศษในแต่ละโครงการ”
ส่วนการปฏิรูปการศึกษานั้น นายชินวรณ์ กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษามีความก้าวหน้าในระดับหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนต่อไป โดยจะเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (2552-2561) เป็นครั้งแรกในวันที่ 25 ก.พ. พร้อมทั้งจะจัดประชุมสมัชชาปฏิรูปการศึกษาสู่ทศวรรษที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 มี.ค.ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อปูทางสร้างกระแสในการปฏิรูปอย่างจริงจังแก่ทุกภาคส่วน นอกจากบุคคลในวงการศึกษา
“ถึงวันนี้ต้องใช้การศึกษาเป็นตัวนำในการพัฒนาทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้างศึกษาให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาในการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน และต้องทำให้การศึกษาสร้างสังคมแห่งปัญญา เพราะปัจจุบันความขัดแย้งเกิดขึ้นจากหลายๆ ภูมิภาคไม่ได้ใช้กระบวนการแห่งปัญญาในการแก้ปัญหา มีความแตกแยก และแตกต่างทางความคิดค่อนข้างสูง ยกตัวอย่างเช่น ในสังคมชนบทยังเชื่อว่าหมูที่มี 6 ขาอาจจะทำให้รวยได้ ทั้งที่เป็นเรื่องความผิดปกติทางพันธุกรรม ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ต้องขับเคลื่อนประเทศไทยปฏิรูปการศึกษา”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวการตัดงบประมาณมหาวิทยาลัยวิจัยนั้น รมว.ศธ. กล่าวว่า จากการตรวจสอบยืนยันว่าไม่เป็นความจริง รัฐบาลกับกระทรวงศึกษาธิการต่างเห็นความสำคัญของมหาวิทยาลัยวิจัย โดยมีแต่จะส่งเสริมและเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้ให้มากขึ้น และนายกรัฐมนตรีก็เห็นความสำคัญของการให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ร่วมกันเพื่อเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยอย่างแท้จริง