- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ยุทธศาสตร์ 3 ปี สสค.ปูทางประเทศสู่ "สังคมแห่งการเรียนรู้"
ยุทธศาสตร์ 3 ปี สสค.ปูทางประเทศสู่ "สังคมแห่งการเรียนรู้"
หมอสุภกร ย้ำชัดวันนี้ต้องล้มเลิกความคิดทำให้เด็กไทยทุกคนเป็นพิมพ์เดียวกันหมด ส่วน “หมอประเวศ” แนะ 7 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปปัญญา หลังสังคมไทยเผชิญวิกฤติขาดปัญญาแก้ปัญหา-ระบบการศึกษาบิดเบี้ยว “องคมนตรี” ชี้ปฏิรูปการศึกษาคนไทยต้องช่วยกัน
วันนี้ (30 มิ.ย.) สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดประชุมระดมความเห็นจากคณะกรรมการสสค. นักวิชาการ นักการศึกษา ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กเยาวชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานส่งเสริมการพัฒนาระบบการศึกษาจากทั่วประเทศร่วมกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนครั้งที่ 1 ณ ห้องกมลทิพย์ โรงแรมสยามซิตี้ ถ.ศรีอยุธยา
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสสค. กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบที่จะจัดตั้งสสค.ในรูประเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ขณะนี้ยังคงต้องใช้งบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะโครงการนำร่องขนาดเล็กส่วนหนึ่งของสสส.ก่อน
“ส่วนการเปิดรับสมัครให้ทุนแก่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศเพื่อทำโครงการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนในรอบแรก เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่างของสสค.เท่านั้น ต่อไปจะมีงานเปิดโอกาสให้คนที่ทำงานเรื่องนี้และนักปฏิบัติได้มีโอกาสพัฒนางานตนเองแทนที่จะรับงานนโยบายอย่างเดียว"
ผู้จัดการสสค. กล่าวว่า โดยสรุปยุทธศาสตร์หลักในการทำงานของสสค. คือ งานพัฒนาระบบ แก้ไขนโยบาย การเปิดโอกาสในนักปฏิบัติสามารถที่จะริ่เริ่มพัฒนางานตนเองได้ และการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการศึกษา โดยชวนทุกภาคส่วนมาร่วมทำเรื่องการพัฒนาศึกษาให้พัฒนาไปได้ทันกับต่างประเทศ
"ที่ผ่านมาเราเข้าใจผิด พยายามทำเรื่องการศึกษาที่พยายามเปลี่ยนปรอทให้เป็นทอง พยายามให้เด็กไทยทุกคนต้องเป็นพิมพ์เดียวกันหมดที่ต้องขึ้นสู่ระบบการศึกษาวิชาการขั้นสูงเหมือนกันทั้งหมด แต่วันนี้ต้องทำการศึกษาจากน้ำที่ไม่สะอาดให้สะอาด ดึงความสกปรกออกให้ได้ ซึ่งต้องทำให้เด็กเยาวชนมีทางเลือกในการประกอบอาชีพหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นไปสู่หอคอยงาช้างกันทั้งหมดที่เหยียบทับถมกันขึ้นไปเหมือนในปัจจุบัน และต้องลดสิ่งยั่วยุทั้งหลายลดลงด้วย"
ด้านดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานคณะกรรมการบริหารสสค. กล่าวว่า นอกจากการปฏิรูปการเรียนรู้แล้วยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 3 ปี สสค.จะรณรงค์ให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 หลักสำคัญ คือ 1.สร้างจิตสำนึกแห่งการเรียนรู้ ให้ประชาชนทุกวัยมีจิตสำนึกรักการเรียนรู้ 2.ผลักดันการอ่านเป็นระเบียบวาระแห่งชาติที่ไม่ใช่แค่การอ่านหนังสือออก แต่ต้องเป็นการอ่านทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ และพัฒนาเป็นความรู้เพื่อใช้ในสังคม 3.องค์กรทุกองค์กรจะต้องเป็นสถาบันพัฒนาคน นอกเหนือจากบทบาทของโรงเรียนและสถานศึกษา 4.ชุมชนท้องถิ่นต้องเป็นสถาบันพัฒนาคนเช่นเดียวกัน ต้องมุ่งเน้นให้เยาวชนสามารถประกอบอาชีพในท้องถิ่นของตนได้ และ 5.สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษา จัดการเรียนการสอนสอดคล้องกับลักษณะผู้เรียนตามท้องถิ่น วัฒนธรรมและลักษณะเฉพาะ ทั้งนี้การทำงานของสสค.จะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
ศธ.เร่งคลอดสสค. พร้อมหนุนการทำงาน
ส่วนนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการจัดตั้งสสค.ว่า ขณะนี้กำลังพยายามเร่งจัดทำร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้อยู่เพื่อที่จะทำให้เกิดสสค.ได้ทันในช่วงที่ตนรับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็อยากให้คนไทยมองเรื่องการจัดการศึกษาไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นหน้าที่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน สิ่งสำคัญ คือ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ของคนในเรื่องการศึกษาด้วย
"กระทรวงฯ จะส่งสริมการทำงานของสสค.ให้มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน รวมถึงเรื่องแหล่งเงินทุน 1% จากภาษีบุหรี่สุราด้วย ขณะเดียวกันสสค.ก็ต้องแสดงบทบาทให้เห็นชัดเจน ในระยะ 1-3 ปีนี้สสค.จะมีแนวทางดำเนินการในทิศทางใด มีส่วนสำคัญช่วยผลักดันการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นไปเร็วขึ้น บทบาทจะมุ่งที่ปฏิรูปการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนโดยตรง รูปแบบการเรียนรู้นี้จะต้องครอบคลุมใน 3 ระดับ"
รมว.ศธ. กล่าวว่า ขณะนี้การศึกษาขาดความสมดุลระหว่างเรื่องการเรียนรู้วิชาการขั้นสูง เรียนรู้อาชีพ และเรียนรู้รากฐานชีวิตในชุมชน สสค.จะทำหน้าที่เชื่อมโยงสนับสนุนงบประมาณให้เกิดความร่วมมือและนำร่องโครงการตัวอย่างในเรื่องนี้ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีบทบาทสำคัญมาก ซึ่งควรมีการส่งเสริมให้โรงเรียนกับท้องถิ่นได้ร่วมกันสำรวจปัญหาของชุมชน มีการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อประกอบอาชีพให้ชุมชนแทนการศึกษาเพื่อสอบเลื่อนชั้น
สังคมวิกฤตขาดปัญญา เหตุระบบการศึกษาไทยบิดเบี้ยว
จากนั้น ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และประธานสมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย บรรยายเรื่อง “สังคมแห่งการเรียนรู้กับการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาชนไทย” โดยระบุว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังเผชิญวิกฤตทางปัญญาและขาดวัฒนธรรมทางปัญญา มีปัญญาไม่พร้อมที่จะเผชิญการแก้วิกฤต ซึ่งทำให้หาทางออกไม่เจอ
"การจะปฏิรูปเรื่องใดก็ตามต้องเริ่มที่ปฏิรูปปัญญา เหตุการณ์ในวันนี้ถ้าไม่ใช้วัฒนธรรมทางปัญญาก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาวิกฤตนี้ซับซ้อน เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินหรืออำนาจ"
ประธานสมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย กล่าวถึงสภาพปัญหาของระบบการศึกษาไทยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดระบบการศึกษาที่บิดเบี้ยว เกิดคุรุกรรมของการศึกษามิติเดียว ยึดวิชาการเป็นตัวตั้ง ไม่นำชีวิตและความสัมพันธ์ฐานชีวิตในชุมชนเป็นตัวตั้งในการเรียนรู้ด้วย เกิดภาพการศึกษาที่ห้องเรียน เกิดการเรียนรู้และการสอนแบบทางเดียว ครูเป็นผู้ถ่ายทอด ส่วนนักเรียนเป็นผู้รับอย่างเดียว อีกทั้ง การศึกษามิติเดียวยังแยกออกจากวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น ฐานชีวิตในชุมชนของนักเรียน ทั้งที่มนุษย์มีศักยภาพพหุมิติและสามารถปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้ได้โดยรอบด้าน ดังนั้นต้องปรับแนวคิดเรื่องการศึกษาใหม่
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า เรื่องการศึกษานั้นไม่ได้มีแต่ทรัพยากรการเรียนรู้ที่ครูเท่านั้น ยังมีการศึกษาที่มีปฏิสัมพันธ์รอบด้านกับชุมชนจะทำให้เด็กและเยาวชนเป็นคนเก่งดี มีความสุขในการเรียนรู้ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ลักษณะนี้ เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมาได้ทำลายชุมชนท้องถิ่น ระบบการศึกษาทำให้เด็กและเยาวชนละทิ้งชุมชน ซึ่งเป็นฐานชีวิตและเป็นฐานของประเทศ
“เราเกิดสภาพการสอบเอนทรานซ์ที่เหมือนนรกกับสวรรค์ ที่ใครเอนทรานซ์ไม่ได้ก็เหมือนตกนรก ทำให้อุดมศึกษากลายเป็นธุรกิจ เกิดสภาพมหาวิทยาลัยอ่อนแอทางวิชาการอย่างมาก ไม่สามารถวิจัยพัฒนานโยบายสาธารณะได้ ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับคนแค่บางกลุ่ม การศึกษาสร้างคนหยิบโหย่งเต็มประเทศ เกิดบัณฑิตที่ทำงานไม่เป็น ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ เกิดระบบการศึกษาที่บิดเบี้ยว ดังนั้นวันนี้ต้องช่วยกันทำเรื่องนี้เสียใหม่”
7 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปปัญญานำพาชาติ
สำหรับยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปปัญญาเพื่อนำพาชาติออกจากวิกฤติ ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า โครงสร้างใหม่ของระบบการศึกษาไทยต้องนำเรื่องของวิถีชีวิตเป็นตัวตั้ง เนื่องจากฐานของการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดคือฐานการศึกษาของชุมชนซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อชีวิต ถัดมาต้องทำเรื่องอาชีวศึกษา เมื่อทำฐานทั้งสองได้แล้วจากนั้นค่อยมทุ่มสู่การศึกษาเพื่อวิชาการ
พร้อมกันนี้ ราษฎรอาวุโส ได้เสนอให้ใช้ 7 ยุทธศาสตร์ในการสร้างวัฒนธรรมทางปัญญา ขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้ ได้แก่
1.ต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ เช่น ต้องมีคนแมปปิ้งการศึกษาภูมิปัญญาความรู้ในชุมชนทั่วประเทศร่วมกัน
2.การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยต้องสร้างการเรียนรู้ที่เข้าใจในธรรมชาติของสมองเด็กด้วย เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้อย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เด็ก
3.สร้างโครงสร้างใหม่ของระบบการศึกษาที่ยึดชีวิตเป็นตัวตั้ง
4.ทำการอ่านให้เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เนื่องจากขณะนี้ไทยยังไม่ใช่ชาติแห่งการอ่าน แต่เป็นชาติแห่งการพูด ควรส่งเสริมให้มีชมรมรักการอ่านและห้องสมุดในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ
5.ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในการศึกษา มหาวิทยาลัยทั้งหมดต้องตั้งโจทย์เรื่องนี้ใหม่
6.ต้องสร้างองค์กรเรียนรู้ องค์กรส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น ภาคธุรกิจเอกชน ภาคราชการควรมีองค์กรส่งเสริมการเรียนรู้ให้คน
และ 7.สร้างการสื่อสารที่ปฏิรูปการเรียนรู้ ต้องใช้สื่อทุกชนิดทุกประเภทเพื่อการเรียนรู้ของคนไทย สถานีโทรทัศน์ควรเป็นสถาบันการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ให้สังคม เนื่องจากทุกวันนี้สื่อถูกใช้ประโยชน์เพียงแค่การบริโภคและบริภาษกัน
องคมนตรีย้ำปฏิรูปการศึกษาคนไทยต้องช่วยกัน
ขณะที่นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรีและที่ปรึกษาอนุกรรมการสสค. กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญเกินกว่าที่จะให้ภาคส่วนใดภาค ส่วนหนึ่งรับผิดชอบ สิ่งสำคัญในการศึกษา คือ ต้องมีการมองตัวเอง ประเมินตัวเอง และปรับปรุงตัวเอง
ต่อจากนั้น นพ.เกษม ได้ยกพระบรมราโชวาทที่ว่า การศึกษาเป็นการพัฒนาที่เป็นระบบ และมีจุดมุ่งหมาย โดยรับสั่งว่า การพัฒนาต้องอาศัยจิตใจที่ต้องหวงแหนแผ่นดินของเรา และเราต้องช่วยกันเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน คำว่ารู้หมายถึงการแยกแยะสิ่งดี สิ่งเลว รักหมายถึงการมีความรักในการปฏิบัติ เมื่อผ่านขั้นตอนการรู้จริงแล้ว ต้องสร้างฉันทะ หรือความรักในการทำงาน
“เรามาประชุมกันเพื่อทำอะไรดีๆให้แก่สังคมไทย เราต้องรู้จริง เราต้องเข้าใจว่า อะไรคือ ความเข้มแข็งของระบบการศึกษาไทย ประเทศไทยเป็นของเรา การศึกษาไทยมีความสำคัญมากต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ตั้งแต่ระดับรากหญ้านั้นก็จะส่งผลในการพัฒนาสังคมไทยต่อไป”
สุดท้าย ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชด์ ผู้จัดการสสส. กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศไทยเป็นประเด็นที่สังคมต้องเข้ามาร่วมมือกัน การปฏิรูปการศึกษาการเรียนรู้ก็เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญนั้น หากไม่มีการปฏิรูปอย่างเป็นระบบ ประเทศไทยจะลำบาก บทเรียนสำคัญของสสส.สะท้อนชัดว่าต้องมีการมองเชิงระบบ เชิงความคิด และมีกลไกพิเศษ ที่เข้ามาช่วยให้การศึกษาดำเนินไปได้สสค.ก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองในการปรับเปลี่ยนตัวระบบการศึกษา โดยบอร์ดสสส.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานให้การสนับสนุนเบื้องต้น