- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- อภิสิทธิ์แนะมหาวิทยาลัยวางบทบาทให้ชัดตามจุดแข็ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
อภิสิทธิ์แนะมหาวิทยาลัยวางบทบาทให้ชัดตามจุดแข็ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
นายกฯ ปลุกสถาบันอุดมศึกษา นำร่อง โครงการ 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย ในงานประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ. 2553 เรื่อง การปฏิรูประบบอุดมศึกษาไทย: ฤาจะเป็นความฝัน? พร้อมมอบโล่ ประกาศเกียรติคุณ 4 อาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ
วันนี้ (2 ก.ย.) ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ. 2553 เรื่อง การปฏิรูประบบอุดมศึกษาไทย: ฤาจะเป็นความฝัน? ระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร และการประกาศเกียรติคุณผู้สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ
ในช่วงแรกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ อาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ จำนวน 4 สาขา ดังนี้ สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ศ.ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ รศ.วิลาวัณย์ เสนารัตน์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาสังคมศาสตร์ ศ. ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ สาขามนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ รศ. ดร.วยุพา ทศศะ จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และอาจารย์ดีเด่นของ ปอมท. ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลี ศ.ดร.ปริญญา จินดาประเสริฐ และศ.ดร.สุเทพ สวนใต้ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ศ.นพ.วุฒิชัย ธนาพงศธร รศ.ดร.บรรจบ ศรีภา และสาขาสังคมศาสตร์ รศ.ดร.เศกสรรค์ ยงวณิชย์ สาขามนุษย์ศาสตร์และศิลปะศาสตร์ ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวเปิดการประชุมวิชาการ และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปฏิรูประบบอุดมศึกษาภายใต้บรรยากาศการปฏิรูปการเมืองไทย” ตอนหนึ่งถึงความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2542 ยังไม่สามารถแก้ไขหรือตอบโจทย์เรื่องที่ท้ายทายได้เท่าที่ควร ซึ่งการปฏิรูปจะประสบความสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือ การมีส่วนร่วม หากขาดเจตนา ขาดพลัง หรือขาดความต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไม่สามารถไปจุดหมายปลายทางได้ ดังนั้นทุกฝ่ายต้องทบทวนการทำหน้าที่ของตนเอง ปรับปรุงการทำงานต่อไป
“การศึกษาเป็นหัวใจในการกำหนดความสามารถของประเทศในอนาคต ขณะนี้รัฐบาลได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า การปฏิรูปการศึกษาจะเน้นเรื่องการพัฒนาคน โดยเฉพาะการเร่งผลักดันเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การจัดการศึกษาฟรี ระบบกู้ยืมเพื่อการศึกษา และการกระจายโอกาสตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งไม่ควรมองข้ามว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องเล็ก เพราะทุกวันเรายังได้ยินเสียงจากคนด้อยโอกาส แม้กระทั่งบางจังหวัด เช่น ระยอง ที่ยังไม่มีมหาวิทยาลัย หรือวิทยาเขต ในพื้นที่”
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปฏิรูปทศวรรษที่ 2 ว่า เน้นเรื่องคุณภาพ ความสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาที่ยังมีปัญหา ปัญหาภาพรวมคุณภาพทางด้านวิชาการ การเชื่อมโยงระบบการศึกษาเข้ากับระบบเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะต้องปรับปรุง เรื่องความไม่สมดุลการผลิตกำลังคนกับความต้องการของตลาดแรงงาน สัดส่วนอาชีวะศึกษากับสายสามัญ เพิ่มน้ำหนักไปที่อาชีวะศึกษา และผลิตบัณฑิตสายวิทยาศาสตร์ ให้มากกว่าสังคมศาสตร์
“โจทย์สำคัญต้องได้รับการแก้ไข คือ การเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนา เพราะการลงทุนด้านนี้ยังต่ำ อีกทั้งไม่ถูกหยิบนำมาใช้ หรือนำมาเชื่อมโยงภาคสังคมและเศรษฐกิจ และภาวะที่บ้านเมืองประสบวิกฤตความขัดแย้ง หลายเหตุการณ์สะท้อนคุณภาพของคน นอกจากอุดมศึกษาต้องหาคำตอบให้สังคมแล้ว สถาบันครอบครัว สังคม ศาสนา ขณะนี้ก็ถูกลดบทบาทลง ดังนั้นต้องเร่งฟื้นฟู และหวังว่า สถาบันอุดมศึกษาจะช่วยเข้ามาปลูกฝังความรู้ ปัญญา จิตสำนึกให้คนในสังคมอีกทางหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง โครงการ 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัยว่า อยากให้มหาวิทยาลัยนำร่อง เป็นเจ้าภาพหลักระดมทรัพยากรในระบบอุดมศึกษา สนับสนุนกระบวนการปฏิรูป เพราะเชื่อว่าหากเดินได้ตามเป้าหมาย นำอุดมศึกษาใกล้ชิดชุมชน จะสามารถตอบโจทย์ได้หลายข้อ
สำหรับการปฏิรูปอุดมศึกษานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการก้าวออกจากกรอบ ระบบการบริหารจัดการภายในต้องยืดหยุ่น ปรับวิธีการทำงาน เลิกยึดติดกับระบบราชการ หรือแนวคิดเชิงอนุรักษ์แบบปลอดภัยไว้ก่อน เพราะจะอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง
“สถาบันอุดมศึกษาต้องคิดจริงจัง ภารกิจหลัก การเรียนการสอนวิชาการต้องมีความยืดหยุ่น เสริมจุดแข็งของแต่ละสถาบัน และวางตำแหน่งให้ชัดว่า จะเน้นบทบาทตามจุดแข็งของตนอย่างไร เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยมีความหลากหลายมาก และมีจำนวนมากเกือบ 200 แห่ง ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทเหมือนกัน มหาวิทยาลัยใดเน้นเรื่องการวิจัยก็เน้นการเรียนแบบหนึ่ง หรือสถาบันใดเชื่อมโยงท้องถิ่นก็ต้องสอนไปอีกแบบหนึ่ง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงสถาบันอุดมศึกษากับการทำงานเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายว่า จ ะสามารถอุดช่องว่างได้ และอยากเห็นการเชื่อมต่อการศึกษาขั้นพื้นฐานมาสู่การศึกษาในขั้นอุดมศึกษา ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยก็ต้องสร้างทักษะการเรียนรู้ชีวิตให้กับนิสิตนักศึกษา ปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีด้วย เพื่อให้คนรุ่นใหม่ใช้เวลาอยู่กับพื้นที่สร้างสรรค์ ลดปัญหาทางสังคมต่อไป พร้อมฝากข้อคิด ปัจจุบันสังคมอยู่กับสื่อ สื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการให้ข้อมูล ชี้นำทางความคิด นำมาสู่การสร้างค่านิยมทางสังคม ดังนั้นหวังผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันอุดมศึกษาจะให้ปัญญาเตือนสติสังคม ซึ่งทำอย่างไรบุคคลากรที่มีอยู่มากในมหาวิทยาลัย จะช่วยสนับสนุนให้สังคมได้รับความรู้ สามารถวิเคราะห์เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างสร้างสรรค์ได้
อภิสิทธิ์แนะมหาวิทยาลัยวางบทบาทให้ชัด ตามจุดแข็ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
นายกฯ ปลุกสถาบันอุดมศึกษา นำร่อง โครงการ 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย ในงานประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ. 2553 เรื่อง การปฏิรูประบบอุดมศึกษาไทย: ฤาจะเป็นความฝัน? พร้อมมอบโล่ ประกาศเกียรติคุณ 4 อาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ
วันนี้ (2 ก.ย.) ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ. 2553 เรื่อง การปฏิรูประบบอุดมศึกษาไทย: ฤาจะเป็นความฝัน? ระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร และการประกาศเกียรติคุณผู้สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ
ช่วงเช้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ อาจารย์ดีเด่นแห่งชาติ จำนวน 4 สาขา ดังนี้ สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ศ.ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ รศ.วิลาวัณย์ เสนารัตน์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาสังคมศาสตร์ ศ. ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ สาขามนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ รศ. ดร.วยุพา ทศศะ จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และอาจารย์ดีเด่นของ ปอมท. ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลี ศ.ดร.ปริญญา จินดาประเสริฐ และศ.ดร.สุเทพ สวนใต้ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ศ.นพ.วุฒิชัย ธนาพงศธร รศ.ดร.บรรจบ ศรีภา และสาขาสังคมศาสตร์ รศ.ดร.เศกสรรค์ ยงวณิชย์ สาขามนุษย์ศาสตร์และศิลปะศาสตร์ ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวเปิดการประชุมวิชาการ และ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปฏิรูประบบอุดมศึกษาภายใต้บรรยากาศการปฏิรูปการเมืองไทย” ตอนหนึ่งถึงความพยายามในการปฏิรูปการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2542 ยังไม่สามารถแก้ไขหรือตอบโจทย์เรื่องที่ท้ายทายได้เท่าที่ควร ซึ่งการปฏิรูปจะประสบความสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือ การมีส่วนร่วม หากขาดเจตนา ขาดพลัง หรือขาดความต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไม่สามารถไปจุดหมายปลายทางได้ ดังนั้นทุกฝ่ายต้องทบทวนการทำหน้าที่ของตนเอง ปรับปรุงการทำงานต่อไป
“การศึกษาเป็นหัวใจในการกำหนดความสามารถของประเทศในอนาคต ขณะนี้รัฐบาลได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า การปฏิรูปการศึกษาจะเน้นเรื่องการพัฒนาคน เพราะโดยเฉพาะการเร่งผลักดันเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การจัดการศึกษาฟรี ระบบกู้ยืมเพื่อการศึกษา และการกระจายโอกาสตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งไม่ควรมองข้ามว่า ปัญหานี้ เป็นเรื่องเล็ก เพราะทุกวันเรายังได้ยินเสียงจากคนด้อยโอกาส แม้กระทั่งบางจังหวัด เช่น ระยอง ที่ยังไม่มีมหาวิทยาลัย หรือวิทยาเขต ในพื้นที่”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปฏิรูปทศวรรษที่ 2 เน้นเรื่องคุณภาพ ความสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาที่ยังมีปัญหา ปัญหาภาพรวมคุณภาพทางด้านวิชาการ การเชื่อมโยงระบบการศึกษาเข้ากับระบบเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะต้องปรับปรุง เรื่องความไม่สมดุลการผลิตกำลังคนกับความต้องการของตลาดแรงงาน สัดส่วนอาชีวะศึกษากับสายสามัญ เพิ่มน้ำหนักไปที่อาชีวะศึกษา และผลิตบัณฑิตสายวิทยาศาสตร์ ให้มากกว่าสังคมศาสตร์
“โจทย์สำคัญต้องได้รับการแก้ไข คือ การเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนา เพราะการลงทุนด้านนี้ยังต่ำ อีกทั้งไม่ถูกหยิบนำมาใช้ หรือนำมาเชื่อมโยงภาคสังคมและเศรษฐกิจ ภาวะที่บ้านเมืองประสบวิกฤตความขัดแย้ง หลายเหตุการณ์สะท้อนคุณภาพของคน นอกจากอุดมศึกษาต้องหาคำตอบให้สังคมแล้ว สถาบันครอบครัว สังคม ศาสนา ขณะนี้ก็ถูกลดบทบาทลง ดังนั้นต้องเร่งฟื้นฟู และหวังว่า สถาบันอุดมศึกษาจะช่วยเข้ามาปลูกฝังความรู้ ปัญญา จิตสำนึกให้คนในสังคมอีกทางหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง โครงการ 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัยว่า อยากให้มหาวิทยาลัยนำร่อง เป็นเจ้าภาพหลักระดมทรัพยากรในระบบอุดมศึกษา สนับสนุนกระบวนการปฏิรูป เพราะเชื่อว่าหากเดินได้ตามเป้าหมาย นำอุดมศึกษาใกล้ชิดชุมชน จะสามารถตอบโจทย์ได้หลายข้อ
สำหรับการปฏิรูปอุดมศึกษานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการก้าวออกจากกรอบ ระบบการบริหารจัดการภายในต้องยืดหยุ่น ปรับวิธีการทำงาน เลิกยึดติดกับระบบราชการ หรือแนวคิดเชิงอนุรักษ์แบบปลอดภัยไว้ก่อน เพราะจะอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง
“สถาบันอุดมศึกษาต้องคิดจริงจัง ภารกิจหลัก การเรียนการสอนวิชาการต้องมีความยืดหยุ่น เสริมจุดแข็งของแต่ละสถาบัน และวางตำแหน่งให้ชัดว่า จะเน้นบทบาทตามจุดแข็งของตนอย่างไร เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยมีความหลากหลายมาก และมีจำนวนมากเกือบ 200 แห่ง ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทเหมือนกัน มหาวิทยาลัยใดเน้นเรื่องการวิจัยก็เน้นการเรียนแบบหนึ่ง หรือสถาบันใดเชื่อมโยงท้องถิ่นก็ต้องสอนไปอีกแบบหนึ่ง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงสถาบันอุดมศึกษากับการทำงานเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายว่า จ ะสามารถอุดช่องว่างได้ และอยากเห็นการเชื่อมต่อการศึกษาขั้นพื้นฐานมาสู่การศึกษาในขั้นอุดมศึกษา ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยก็ต้องสร้างทักษะการเรียนรู้ชีวิตให้กับนิสิตนักศึกษา ปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีด้วย เพื่อให้คนรุ่นใหม่ใช้เวลาอยู่กับพื้นที่สร้างสรรค์ ลดปัญหาทางสังคมต่อไป พร้อมฝากข้อคิด ปัจจุบันสังคมอยู่กับสื่อ สื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการให้ข้อมูล ชี้นำทางความคิด นำมาสู่การสร้างค่านิยมทางสังคม ดังนั้นหวังผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันอุดมศึกษาจะให้ปัญญาเตือนสติสังคม ซึ่งทำอย่างไรบุคคลากรที่มีอยู่มากในมหาวิทยาลัย จะช่วยสนับสนุนให้สังคมได้รับความรู้ สามารถวิเคราะห์เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างสร้างสรรค์ได้