- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดัน ‘มอ.วิทยาเขตปัตตานี’ ศูนย์กลางอิสลามศึกษา
ดัน ‘มอ.วิทยาเขตปัตตานี’ ศูนย์กลางอิสลามศึกษา
‘สมัย เจริญช่าง’ มองมุสลิมไทยมีเสรีภาพ ไม่ได้ถูกลิดรอน เปรียบปัตตานี ‘ระเบียงบ้านโลกมุสลิม’ ด้าน ‘รศ.ดร.บุญสม’ ชี้หลักสูตรอิสลามศึกษาวางรากฐานเยาวชนดำเนินชีวิตในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างสง่างาม-มีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันที่ 13 ธันวาคม รัฐบาลและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี แถลงจัดงานสัมมนาวิชาการอิสลามนานาชาติ เรื่อง “Role of Islamic Studies in Post-Globalized Society” ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล เพื่อผลักดันหลักสูตรอิสลามศึกษาให้เป็นมาตรฐานสากลรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ และเป็นหนทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจ-สันติภาพของโลก
ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดงานสัมมนาวิชาการอิสลามนานาชาติในครั้งนี้ว่า มีที่มาจากการที่คณะทำงานเดินทางเยือนกลุ่มประเทศมุสลิมเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงได้เกิดเป็นแนวความคิดและความร่วมมือระดับนานาชาติที่จะนำการศึกษา ‘อิสลามศึกษา’ (Islamic Studies) มาใช้เป็นที่มาของการจัดการประชุมทางวิชาการนานาชาติเกี่ยวกับหลักสูตรอิสลามศึกษาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกในประเทศไทย
“การจัดการหลักสูตรอิสลามศึกษามีข้อจำกัด และประเด็นปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่มากในยุคโลกาภิวัฒน์ เราจึงมีความคิดที่จะทำให้หลักสูตรอิสลามศึกษาเป็นหลักสูตรที่เกิดประโยชน์ต่อนักศึกษา และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคน สังคม ประเทศ และเพื่อนมนุษย์ การจัดสัมมนาครั้งนี้จึงเป็นการนำข้อคิด ประเด็น จากนักวิชาการ และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านหลักสูตรอิสลามจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนกัน”
รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การจัดทำหลักสูตรอิสลามศึกษา เป็นสิ่งที่ชุมชน และคนในพื้นที่รอคอย เพราะแต่ละปีเยาวชนต้องดั้นด้นไปศึกษาภาษาอารบิกที่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีโอกาสน้อย และยากลำบาก หากหลักสูตรอิสลามเกิดขึ้นได้อย่างมีคุณภาพ ก็จะสามารถแก้ปัญหาส่วนนี้ได้ และเชื่อว่าจะเป็นความภาคภูมิใจของคนในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่งด้วย
“เรามองเห็นความสำคัญของหลักสูตรอิสลามศึกษามาตั้งแต่ปี 2545 จึงได้จัดโครงการความเป็นเลิศทางอิสลามศึกษา และให้การสนับสนุนมากขึ้น ทำให้มีการเติบโตเป็นลำดับ มีนักศึกษาจากต่างประเทศมาเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าเป็นเค้าลางของการเป็นศูนย์กลางการศึกษาอยู่บ้างแล้ว”
รศ.ดร.บุญสม กล่าวถึงการสร้างหลักสูตรอิสลามศึกษาว่า จะเป็นการวางรากฐานให้เยาวชนดำเนินชีวิตอยู่ได้ในยุคโลกาภิวัฒน์อย่างสง่างาม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์เป็นสังคมที่รุนแรง ทุนใหญ่ทำลายทุนเล็ก วัฒนธรรมใหญ่ทำลายวัฒนธรรมเล็ก คนที่มีความรู้มากจะทำลายคนที่มีความรู้น้อย กลายเป็นสังคมที่โหดร้าย การมีหลักสูตรอิสลามศึกษาจะทำให้คนในพื้นที่ที่มีความผูกพันและให้ความสำคัญกับศาสนาเกิดความภูมิใจว่า มีภาคส่วนที่เข้ามาสนใจ-ทำนุบำรุง และให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนด้านศาสนาที่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ของปี รวมทั้งเป็นประโยชน์อย่างสูงกับเยาวชนในพื้นที่ ให้มีฐานความรู้ ฐานภาษาที่แข็งแกร่งเป็นเครื่องมือให้พร้อมเข้าสู่โลกมุสลิม
นายสมัย เจริญช่าง รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับชาวมุสลิมในประเทศไทยนับว่าได้รับเสรีภาพทางศาสนาไม่น้อย หรือบางครั้งมากกว่าสิทธิเสรีภาพที่ชาวมุสลิมในประเทศมุสลิมได้รับ เช่น การสร้างมัสยิด การจัดการศึกษา ซึ่งการใช้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดปัตตานี ในการสร้างบริบทของการเสริมสร้างงานวิชาการ เพื่อสร้างให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นศูนย์กลางของอิสลามศึกษา
“ ดังที่ปราชญ์ของโลกมุสลิมได้เคยอุปมาอุปไมยไว้ว่า ‘ถ้าเมกกะคือศูนย์กลางของบ้านหลังหนึ่ง อาเจะห์ของอินโดนีเซียคือหน้าต่างบ้านทางทิศตะวันออก ปัตตานีก็คือระเบียงของบ้าน’ ดังนั้นเมื่อใครจะเข้าสู่ตัวบ้านก็ต้องผ่านระเบียงเป็นเบื้องต้น การจัดเวทีอิสลามนานาชาติจึงเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ที่นักวิชาการจากทั่วโลกจะได้เห็นว่าประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพทางศาสนา และไม่ได้ถูกลิดรอนสิทธิ์อย่างที่เกิดความเข้าใจกัน”
สำหรับการสัมมนา เรื่อง “Role of Islamic Studies in Post-Globalized Society” จะจัดในวันที่ 21-23 ธันวาคมนี้ โดยจะมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุม ณ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ร่วมด้วยรองอธิการบดีจาก Al-Azhar University ประเทศอียิปต์ และนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี และประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาปิดการสัมมนา
โดยการสัมมนาวิชาการอิสลามนานาชาติ จะมี 22 ประเทศเข้าร่วมการ อาทิ กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต โมร็อกโก ซูดาน อียิปต์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ปากีสถาน จีน และอินเดีย และในช่วงท้ายจะมีการลงนามร่วมกันใน ‘ประกาศปฏิญญาปัตตานี’ ว่ามีความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งจะเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ในอนาคต และในโลกที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย