- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ชินวรณ์” ตั้งเป้าปั้นเด็กจบม.ปลายเป็นพลเมืองยุคใหม่
“ชินวรณ์” ตั้งเป้าปั้นเด็กจบม.ปลายเป็นพลเมืองยุคใหม่
มีคุณธรรม-จริยธรรมในการดำรงอยู่ในสังคม รมว.ศธ.หวั่นปฏิรูปประเทศจะกลายเป็นเพียงวาทกรรมอันสวยหรูอย่างเดียว แนะเริ่มวางกรอบให้ชัดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง
วันที่ 24 ธันวาคม ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย จัดการประชุมเรื่อง “มหาวิทยาลัยกับการปฏิรูปประเทศไทย” ณ อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องฯ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ปฏิรูปการศึกษากับการปฏิรูปประเทศไทย”
นายชินวรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยและสังคมตะวันออกนั้น นิยมให้ความสำคัญในด้านพิธีรีตองมากกว่าจะเน้นหนักไปในเชิงเนื้อหาสาระ และมักมีคำพูดสวยหรูเสมออย่างเช่น ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งท้ายสุดเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่เคยได้ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในเชิงปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
“หากสังคมต้องการจะปฏิรูปประเทศไทย ต้องเริ่มที่การวางกรอบกำหนดชัดเจนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วจะปฏิรูปประเทศไทยหรือปฏิรูปการศึกษา ก็จะกลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ฟังดูแล้วไพเราะเพียงอย่างเดียว” นายชิรวรณ์ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงทิศทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ว่า แผนปฏิรูปการศึกษาต้องทำให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพโดยอาศัย 4 กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษา คือ 1) พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้และการปรองดอง พร้อมทั้งมีความเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง มีความคิดวิเคราะห์ในเชิงปัญหาชั้นสูง 2) พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการครุศึกษาที่ต้องกำกับดูแลคุณภาพครูอย่างจริงจัง 3) พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และ 4) พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาการศึกษา โดยรัฐบาลต้องมีจุดเน้นที่ชัดเจนในเรื่องงบประมาณสนับสนุนด้วยเช่นกัน
“ประสิทธิภาพการศึกษาต้องไม่ขึ้นอยู่กับสำนักงบประมาณเหมือนในอดีต แต่ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของอธิการผู้บริหารมหาวิทยาลัยว่าต้องการงบประมาณเท่าไหร่ ก็ให้ทำเอกสารชี้แจง ที่ผ่านมางบประมาณที่ให้นั้น มักไม่ตรงกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน จึงทำให้การบริหารจัดการเป็นไปด้วยความยากลำบาก” นายชินวรณ์ กล่าวและว่า ต่อจากนี้กระทรวงศึกษาฯไม่เพียงกำกับดูแลมหาวิทยาลัยต้นสังกัดแล้ว แต่จะให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยน้องใหม่อย่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยราชมงคลด้วย เพราะเชื่อว่าทั้ง 2 สถาบันสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้เช่นกัน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า การสร้างคนให้มีคุณภาพในสังคมต้องทำให้เป็นผู้ที่เก่งทั้งด้านทฤษฏีและปฏิบัติ พร้อมทั้งมีลักษณะนิสัยในการเคารพกติกาของผู้อื่น เห็นส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม อันเป็นที่มาของการใช้คุณธรรมในการแก้ไขปัญหา ซึ่งตรงจุดนี้เองกระทรวงศึกษาธิการอาจมีนโยบายกำหนดให้นักเรียนที่จะจบการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น จะต้องสอบผ่านหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีด้วย เพื่อให้พลเมืองยุคใหม่ของสังคมไทย มีคุณธรรมและจริยธรรมในการดำรงอยู่ในสังคม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเองก็ต้องปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ส่วนบทบาทมหาวิทยาลัยในการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองนั้น นายชินวรณ์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีภาระสำคัญ 3 ประการ คือ สนับสนุน ฟื้นฟู และพัฒนาวิชาการเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เชื่อว่าหากสถาบันอุดมศึกษาลุกขึ้นมาจับมือกันอย่างเข้มแข็ง จะเป็นพลังที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มีแนวคิดจัดตั้งกองทุนพัฒนาครูและคุณภาพการศึกษา เพื่อสนับสนุนส่งเสริมความเป็นเลิศให้แก่ครูดีมีคุณภาพ และทำประโยชน์เพื่อสังคม
นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า สถาบันอุดมศึกษาจะต้องลงไปช่วยกำกับดูแล พร้อมทั้งแนะนำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษา เพื่อทำให้การศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่มหาวิทยาลัยต้องผลิตบุคลากรครูที่มีความรู้ทางด้านภาษอังกฤษเพิ่มเติม เพื่อสร้างฐานแห่งความรู้ที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในสังคม
ทั้งนี้หลังจบจากการปาฐากถาพิเศษ “ปฏิรูปการศึกษากับการปฏิรูปประเทศไทย” นั้น ได้มีการอภิปรายเรื่อง “บริบทมหาวิทายลัยในยุคปฏิรูปการศึกษารอบที่สองกับการปฏิรูปประเทศไทย” โดย ดร.ชุมพล พรประภา ประธานสมาคมสภามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา และ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการสำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.thaireform.in.th ต่อไป