- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ‘ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์’ ฉายภาพเงินกู้ กยศ.เข้าไม่ถึง ‘คนจนตัวจริง’
‘ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์’ ฉายภาพเงินกู้ กยศ.เข้าไม่ถึง ‘คนจนตัวจริง’
อาจารย์นิด้า ชี้ความเหลื่อมล้ำ ถูกถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก คนรวยจะมีโอกาสทางการศึกษาดีกว่าคนจน แนะวิธีหยุดให้ปรับการจัดสรรเงินทุนแนวใหม่ ตั้งกก.ระดับพื้นที่เป็น ‘แมวมอง’ คัดกรอง ‘คนจนตัวจริง’ ให้ได้สิทธิ์กู้ยืม
วันที่ 20 มกราคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ความเหลื่อมล้ำการศึกษา และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของครัวเรือน” ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 โดยมีศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นวิทยากร
ศ.ดร.ดิเรก กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา มีนัยสำคัญต่อโอกาสในการประกอบอาชีพ การมีงานที่ดี และการเป็นชนชั้นในสังคม รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ซึ่งวัดได้จากรายได้ การออม และความมั่งคั่งตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำยังถูกถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูก โดยผ่านทางกลไกครอบครัว ฉะนั้น คนรวยที่มีมรดก มีทุนมนุษย์จะมีโอกาสทางการศึกษาดีกว่าคนจน
“ฐานข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์และทดสอบข้อสันนิษฐานคือ การสำรวจครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2552 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 43,830 ครัวเรือน และสมาชิกครัวเรือนจำนวน 139,830 คน กระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ แบ่งตามสภาพเมืองและชนบท ซึ่งเมื่อแจกแจงระดับการศึกษาของบุตร กับสถานะรายได้ของครัวเรือน พบว่า ครัวเรือนจนที่สุด มีบุตรจำนวน 4,153 คน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 25 คน ต่ำกว่าร้อยละ 1 ส่วนครัวเรือนรวยที่สุด มีบุตรจำนวน 3,208 คน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 1,129 คน คิดเป็นร้อยละ 35 ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวแตกต่างอย่างชัดเจน”
ศ.ดร.ดิเรก กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในเชิงนโยบายว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในเรื่องการเงินการคลังเพื่อการศึกษา โดยมีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แต่กลับพบว่า วิธีการจัดสรรเงินทุนยังไม่ดีพอ เนื่องจากการจัดสรรงบให้แก่สถานศึกษา และให้สถานศึกษาไปจัดสรรต่อให้กับนักเรียน เป็นวิธีการที่ไม่ได้เข้าถึง ‘คนจนตัวจริง’ เพราะไม่ใช่ว่าคนจนทุกคนจะมีโอกาสเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ประกอบกับ การจัดสรรงบให้แก่สถานศึกษา โดยอ้างอิงจากสัดส่วนผู้กู้ในปีก่อน เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฎและมหาวิทยาลัยเอกชนมีสัดส่วนผู้กู้มาก ในปีถัดมาก็จัดสรรงบให้มีมากตาม ทำให้เอกชนใช้จุดนี้เป็น ‘ตัวขายของ’ เพราะผู้เรียนสามารถกู้ยืมได้
ศ.ดร.ดิเรก กล่าวด้วยว่า หากจะหยุดความเหลื่อมล้ำจากรุ่นพ่อแม่ไปยังรุ่นลูก ควรจะต้องปรับวิธีการจัดสรรเงินทุนแนวใหม่ โดยจัดตั้งคณะกรรมการระดับพื้นที่ อาจเป็นในตำบลหรืออำเภอ เพื่อทำหน้าที่เป็น ‘แมวมอง’ คัดกรองเด็กที่ยากจน และสนใจเรียนให้มีสิทธิ์กู้ยืม กยศ.และรับทุนให้เปล่า สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งผลจากการศึกษา พบว่า ภาระทางการคลังของรัฐบาลจะเท่ากับ 597 ล้านบาทในปีแรก และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,387 ล้านบาทเมื่อดำเนินการครบ 4ปี นับเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก หากเทียบกับเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้ไปกับนโยบายประชาวิวัฒน์