- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “สนธิ บุญยรัตกลิน” ลั่นเพ้อเจ้อ หวังให้นักการเมืองมีคุณธรรม-จริยธรรม
“สนธิ บุญยรัตกลิน” ลั่นเพ้อเจ้อ หวังให้นักการเมืองมีคุณธรรม-จริยธรรม
ชี้การคัดสรรคนดีเข้าสภา ต้องมุ่งพัฒนาศักยภาพตัวบุคคล เลิกระบบสังคมอุปถัมภ์ ด้าน “วิชัย รูปขำดี” ฉะประเทศมีแผนชาติถึง 10 ฉบับ แต่ไม่เคยสร้างแผนพัฒนาการเมืองอย่างจริงจัง ทำวิจัยไว้สมัยทักษิณ ก็ไม่ได้นำออกมาใช้
วานนี้ (8 ส.ค.) คณะกรรมการภาคประชาสังคม สภาพัฒนาการเมือง ร่วมกับเครือข่ายนิด้าพัฒนาการเมือง เครือข่ายการเลือกตั้งภาคพลเมือง และเครือข่ายภาคประชาสังคม จัดงานเสวนาหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศไทย : ปฏิรูปการเลือกตั้ง : สร้างคนดีเข้าสภา“ ณ ห้องประชุม ห้องเรียน 301 ชั้น 3 อาคารมาลัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) บางกะปิ กรุงเทพมหานคร มีสมาชิกพัฒนาการเมือง ตัวแทนกรรมการการเลือกตั้งจากทั่วประเทศ และประชาชนทั่วไปร่วมรับฟัง
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า การให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้ามาดูแลการเลือกตั้ง เพื่อคัดสรรคนดีเข้าสู่สภาฯ นั้น ขณะนี้ไม่สามารถทำงานในเชิงรุกได้ แม้มีอำนาจตามกฎหมาย เพราะนักการเมืองมีการหลบเลี่ยงตลอดเวลา ระบบซื้อสิทธิ์ขายเสียง ยังมีอยู่ และกลุ่มนักการเมืองเก่า ยังมองว่า การมีจริยธรรม คุณธรรม เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นโอกาสยากมากในการพัฒนาการเมือง ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ ต้องหันกลับมาดูที่ตัวบุคคล มุ่งเน้นพัฒนาที่ศักยภาพของนักปกครองให้มากขึ้น
“เดิมนักปกครองบ้านเรามองเพียง 2 เรื่อง คือ รัฐศาสตร์ และ เศรษฐกิจ ไม่ได้มองเรื่องสังคมวิทยา จึงเป็นเหตุของปัญหาความแตกแยก การวิเคราะห์เชิงมนุษย์ ยังขาดการวิเคราะห์สิ่งที่เป็นพื้นฐานของคนไทย ลืมสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ มุ่งตามแบบอย่างประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งหากมองอย่างสหวิทยา การปกครองประเทศสำเร็จยาก โดยเฉพาะระบบสังคมอุปถัมภ์ ควรเร่งให้มีการยกเลิกโดยเร็ว”
หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวถึงการแก้ปัญหาทางการเมือง มีวิธีแก้นิดเดียว คือ ทำอย่างไร ไม่ให้มีการโกงกิน คอรัปชั่น เมื่อนั้น การเมืองก็จะเข้าสู่ระบบ โดยยึดหลักกฎหมาย “Rule of law ” และเน้นในหลักการบังคับใช้กฎหมาย แต่หากมองในเรื่องของคน การแก้ปัญหาบ้านเมือง อีกประเด็นหนึ่งที่จะช่วยได้ คือ ประชาชน เพราะอำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน หากสร้างพลังประชาชนได้จะนำพาไปในทางที่ถูก ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 กลุ่มนักการเมือง เกรงกลัว นิสิตนักศึกษาและประชาชน ซึ่งหากประชาชนรวมพลังกัน สร้างการเมืองอย่างมีส่วนร่วมและสร้างประชาธิปไตยร่วมกัน เชื่อว่าประเทศจะสามารถเดินไปข้างหน้า
รศ.ดร.วิชัย รูปขำดี ประธานเครือข่ายนิด้าพัฒนาการเมือง กล่าวว่า ในอดีตเรื่องการเมือง เป็นเรื่องต้องห้าม ไม่มีการสนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาททางการเมือง ทำให้ประชาชนไทยไม่ได้คิดและส่งผลให้ไม่สามารถเลือกพรรคการเมืองที่ดีได้ ทำให้การเมืองไทยไม่พัฒนา ดังนั้น การเลือกคนดีเข้าสภาต้องมีการสกัดกั้นคนที่ไม่ดีให้มีอำนาจควบคู่กันไปกับการเลือกคนดีเป็นสำคัญ
“ปัจจุบันประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถึง 10 ฉบับ แต่ยังไม่เคยสร้างแผนพัฒนาการเมืองที่เป็นประโยชน์และจริงจัง นับตั้งแต่สมัย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยทำการวิจัยในเรื่องการเมืองก็ไม่ได้นำออกมาใช้ จึงอยากเสนอว่า เมื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจไปไกล การเมืองควรต้องตามให้ทัน จากเดิมที่ไม่ให้ความสนใจเรื่องการเมือง ต้องหันมาสนใจ ศึกษาแผนกันอย่างชัดเจนมากขึ้น”
รศ.ดร.วิชัย กล่าวถึงปัญหาที่ทำให้บ้านเมืองไม่เดินหน้า คือ 1.การที่ไม่ได้พัฒนาประชาชน ในเรื่องของอำนาจอธิปไตย ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกผู้แทนยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ในการตัดสินใจ ไม่เหมือนกับกลุ่มประเทศโซนยุโรป ที่เริ่มต้นให้เยาวชนเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย และมีความรับผิดชอบตั้งแต่อายุน้อยๆ 2. ไม่มีแผนพัฒนาองค์กรการเมือง นักการเมือง สมาชิกผู้แทนราษฎรตั้งแต่เนิ่นๆ มีเพียงการพัฒนาหลังจากเข้ามาเป็นนักการเมือง 3.กลไกกำกับการเลือกตั้งไม่มีระบบที่ดีพอ ไม่สามารถตรวจสอบ การทำงานของ กกต. ได้ 4.องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ต้องมีการพัฒนาเพื่อเป็นกลไกการสร้างคนดี 5.ต้องพัฒนาระบบข้าราชการ เพื่อไม่ให้รวมมือกับนักการเมือง โกงกินงบประมาณ หรือเป็นเครื่องมือแก่นักการเมือง
“หากจะแบ่งแยกเป็นการพัฒนาในระยะสั้น คิดว่า ควรกำกับพัฒนาคนเลือก และคนรับเลือก คนไทยทั้งหมด และสำหรับระยะยาว คือ การปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปองค์กรการเมือง ภาคประชาชน ที่ยังไม่เข้าใจ จะเป็นทางออกการแก้ปัญหาการสรรหาคนดีเข้าสู่สภา”
ส่วนนายอุดร ตันติสุนทร ประธานมูลนิธิการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า การเมือง คือ การปกครองบ้านเมือง แต่การที่ปัญหาการเมืองของประเทศไทยวุ่นวาย เนื่องจากมองปัญหาไม่ถูกทาง มัวเน้นที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงต้องย้อนกลับมาแก้ปัญหาที่นักการเมืองเป็นสำคัญ
“การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ของประเทศไทย เน้นไปที่ระบบสัดส่วนเป็นสำคัญมากกว่า ส.ส.เขต และให้ ส.ส. เป็นคนเลือกนายกรัฐมนตรี โดยประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือก ทำให้เกิดตัวผู้นำมาจากกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มาจากนโยบายการทำงานของพรรคที่แท้จริง ซึ่งต่อไปหากมีการปรับกฎหมายเลือกตั้ง คิดว่า จะมีส่วนช่วยลดความขัดแย้งได้ และประเทศจะเดินหน้าต่อไป ถือเป็นการคืนอำนาจให้แก่ประชาชน โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการปรองดอง หรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย เพียงกระจายอำนาจและให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจให้มากขึ้น“