- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปลัดยธ.เปิด 3 กรอบใหญ่ ขับเคลื่อนปฏิรูประบบยุติธรรม
ปลัดยธ.เปิด 3 กรอบใหญ่ ขับเคลื่อนปฏิรูประบบยุติธรรม
เปิดเวทีระดมความเห็นนัดแรก “รวมพลังขับเคลื่อนการปฏิรูประบบความยุติธรรมฯ” พบ 3 ประเด็นร้อนเร่งปฏิรูป “กม.กับคนจน-ยุติธรรมชุมชน-ปัญหากระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก” ด้านหมอประเวศ ชี้เป้าปฏิรูปกฎหมายเพื่อคนยากจน เป็นประเด็นใหญ่ ที่ต้องมีการปฏิรูป
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการความยุติธรรมกับการปฏิรูป 1 ใน 14 คณะกรรมการย่อยของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ซึ่งดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นครั้งแรก เรื่อง “รวมพลังขับเคลื่อนการปฏิรูประบบความยุติธรรม ร่วมกันสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย” ณ ห้องไดมอนด์2 โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียวฟอร์จูน ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ มีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธาน คสป., นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน, นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธ.ก.ส., ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพระปกเกล้า, นายบุญเลิศ ช้างใหญ่ บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์มติชน, นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข ประธานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย, นางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ฯลฯ
ดร.กิตติพงษ์ เปิดเผยกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยว่า เรื่องความยุติธรรมกับการปฏิรูปเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงมากที่สุดในคสป. เนื่องจากมิติต่างๆ ในการปฏิรูปนั้นเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระบบกระบวนการยุติธรรม ซึ่งขณะนี้ได้กรอบ 3 เรื่องใหญ่ที่จะต้องเร่งดำเนินการ คือ 1.กฎหมายและระบบความยุติธรรมกับคนจน ในส่วนนี้ชัดเจนมากว่า มีปัญหาทั้งในส่วนกระบวนการยุติธรรมปกติ ที่มีราคาแพง ล่าช้า คนจนเข้าไม่ถึง มีกฎหมายที่ไม่เอื้อประโยชน์กับคนจนในเชิงโครงสร้างและเป็นอุปสรรคสร้างความอยุติธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจะต้องมีการเข้าไปตรวจสอบดูระบบความยุติธรรมที่มีอยู่ให้คนจนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้มากขึ้น, การปรับปรุงกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างให้คนจนสามารถเข้าถึงการจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม, การสร้างระบบใหม่ๆ เพื่อให้คนจนเข้าถึงระบบความยุติธรรม ซึ่งเรื่องแรกนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องมีการพูดคุยและวิเคราะห์ให้ละเอียดมากขึ้นต่อไปอีก
“เรื่องที่ 2. บทบาทของชุมชนกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับระบบยุติธรรม ซึ่งเชื่อมโยงถึงเรื่องระบบยุติธรรมทางเลือก ที่ไม่ใช่แค่ระบบกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ดังนั้นจะต้องทำให้ชุมชนและประชาชนสามารถดำเนินการระบบยุติธรรมทางเลือกเองได้ ทำให้ชุมชน ท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในเรื่องของยุติธรรมชุมชน เรื่องนี้กระทรวงยุติธรรมได้พยายามดำเนินการมาอย่างน้อย 5 ปี แล้ว ยอมรับว่า ในแง่นโยบายก็ยังไม่ชัดเจน แต่ทางคสป.เห็นความสำคัญ และมองว่าสังคมจะเกิดความยุติธรรม เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำลงได้ ชุนชนท้องถิ่นจะต้องดูแลและทำเรื่องยุติธรรมชุมชนเองโดยตรง เพราะเชื่อว่าจะทำให้กระบวนการยุติธรรมกระแสหลักมีความมั่นคงและลดภาระของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก”
ดร.กิตติพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่ 3. ปัญหา ของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ที่ล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ ซ้ำซ้อน ไปกระทบสิทธิต่างๆ มีหลายเรื่องที่ดูต้องต่อไป เช่น องค์กรต่างๆ ในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งองค์กรอิสระ องค์กรศาล องค์กรบังคับคดีที่มีจำนวนมาก ขณะที่องค์กรที่ช่วยเหลือประชาชนมีน้อย, การจัดแบ่งอำนาจที่เหมาะสมไม่ทับซ้อนระหว่างกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักที่ มีอยู่เดิมกับองค์กรตรวจสอบใหม่ๆ ตามรัฐธรรมนูญ, ปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องระบบการลงโทษ อาทิ การกำหนดโทษจำคุกมากเกินไป มีทางเลือกในการลงโทษน้อยเกินไป ทำให้นักโทษล้นคุก ปัญหาแพะรับโทษ ฯลฯ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า ทั้ง 3 ประเด็นนี้จะต้องมาคุยลงลึกในรายละเอียดและจัดอันดับความสำคัญกันอีก เพื่อหาว่าประเด็นใดเป็นปัญหาหลัก เรื่องเร่งด่วนในระยะสั้น กลาง และระยะยาวที่จะต้องดำเนินการต่อไป จะต้องมีเวทีระดมความคิดเห็นแบบนี้อย่างน้อยอีก 2-3 ครั้งเพื่อจัดอันดับความสำคัญของปัญหา คาดว่า เวทีครั้งที่ 2 ประมาณต้นเดือนก.ย.นี้ ส่วนการจัดทำยุทธศาสตร์สำหรับประเด็นต่างๆ นั้น จะทยอยเสนอเข้าสู่คสป. เพื่อดูว่าจะดำเนินการอย่างไรและจะตั้งคณะกรรมการถาวรดูแลเรื่องนี้อย่างไรต่อไป
ขณะที่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน และสภาผู้นำชุมชนเพื่อการปฏิรูป คสป. กล่าวว่า การแก้ปัญหาระบบความยุติธรรมต้องคำนึงถึง 7 ประเด็นที่เป็นอยู่ในสังคมไทยด้วย ทั้งตัวกฎหมาย พ.ร.บ. พ.ร.ก. กฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆ ที่มีอยู่ส่วนใดบ้างที่ต้องแก้ไข, ตัวระบบการเมืองการปกครองที่ยังรวมศูนย์อำนาจ, กระบวนการยุติธรรมที่ยังคงมีความซ้ำและซับซ้อน, ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ, ความเหลื่อมล้ำทางสังคม วัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์นิยม, คุณภาพของชุมชนในความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย ตำรวจ อัยการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม, การจัดการตนเองของประชาชนอย่างสมบูรณ์ที่ต้องเป็นการกระจายอำนาจถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่แค่การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อดีตรองนายกฯ กล่าวอีกว่า ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนสร้างความยุติธรรม โดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องเน้นเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนแก้ไขในเรื่องเฉพาะหน้าก่อน ส่วนเรื่องเร่งด่วนในการสร้างความเป็นธรรมนั้น คือ ความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองที่ผ่านมา และเรื่องการเยียวยาความเป็นธรรมอย่างเหมาะสม ดี เพียงพอ รวดเร็ว และทันเวลาให้แก่ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ด้านศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคสป. กล่าวถึงการปฏิรูปกฎหมายเพื่อคนยากจนนั้นเป็นประเด็นที่ใหญ่มากที่จะต้องมีการปฏิรูป และจะต้องมีการศึกษารายละเอียดต่อไป ขณะนี้โครงสร้างความยุติธรรมในสังคมไทยมีความพิการ ไม่มั่นคงแข็งแรง ประเทศไทยยังคงมีความไม่เป็นธรรมทุกด้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย สุขภาพ ที่คนจนยังต้องเจ็บป่วยตายด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ สังคมกำลังขาดจิตสำนึกของความเป็นธรรม เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากอำนาจรัฐ อำนาจเงิน อำนาจความรู้ที่ทำให้วิถีชีวิตชุมชนเปลี่ยนไป ดังนั้นเราต้องมาสร้างเป้าหมายร่วมกันในเรื่องนี้
ประธาน คสป. กล่าวด้วยว่า การทำให้ชุมชนท้องถิ่นกลับมาให้ความสำคัญกับความยุติธรรมชุมชนนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องมากที่สุด เพราะเมื่อชุมชนเข้มแข็งก็จะสามารถสร้างระบบความยุติธรรมในท้องถิ่นกลับคืนมาได้ สิ่งใดก็ตามที่พัฒนาแยกส่วนจากชุมชนจะไปไม่รอด เพราะชุมชน คือ พื้นฐานของความยุติธรรม