- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ลดความเหลื่อมล้ำ “ดร.สมชัย” เร่งรัฐอัดฉีด มอบอำนาจจัดเก็บภาษีให้ท้องถิ่น
ลดความเหลื่อมล้ำ “ดร.สมชัย” เร่งรัฐอัดฉีด มอบอำนาจจัดเก็บภาษีให้ท้องถิ่น
กก.ปฏิรูป เชื่อเป็น 1 ในยุทธศาสตร์ทางภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เสนอพัฒนาภาษีล้อเลื่อน-ป้ายทะเบียนรถยนต์-ค่าธรรมเนียมโอนที่ดิน เป็นภาษีท้องถิ่น ขณะที่ศ.ดร.เมธี หนุนปฏิรูประบบภาษีเงินได้ใหม่ โล๊ะอัตราก้าวหน้า แล้วมาตั้งอัตราภาษีคงที่ เสียเท่ากันหมด 10 %
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันกฎหมายภาษีศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการสัมมนาเรื่องยุทธศาสตร์ทางภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ณ ห้องประชุม 222 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยากรประกอบด้วย ศ.ดร.เมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), ศ.(พิเศษ)ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ กรรมการปฏิรูป และอดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต, นายลวรณ แสงสนิท โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ,นายสราวุทธ์ วุฒยาภรณ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ศาลภาษีอากรกลาง และนายวันชัย ตั้งวิจิตร กรมสรรพสามิต ดำเนินรายการโดย ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการปฏิรูป
เสนอเลิกเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า หลังใช้ไม่ได้ผล
ศ.ดร.เมธี กล่าวว่า รัฐบาลตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ได้นำเรื่องความเท่าเทียมกันของสังคมเป็นแนวทางในการตั้งนโยบาย ขณะที่บทบาทของรัฐบาลเพื่อช่วยให้การกระจายรายได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็มีไม่มากนัก และเมื่อพูดถึงเฉพาะระบบภาษีอากร ก็ไม่ได้ช่วยให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเท่าที่ควร แม้โดยเฉลี่ยภาระภาษีจะตกอยู่กับคนที่มีรายได้สูง มากกว่าคนที่มีรายได้น้อย กลับมีช่องทางหลบเลี่ยงภาษี กลายเป็นว่า ระบบภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้การกระจายรายได้เลวลง เป็นภาระของคนที่มีรายได้น้อยมากกว่าคนที่มีรายได้มาก
“รัฐบาลที่มีอำนาจบริหารจัดการประเทศ ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนในระบอบประชาธิปไตยให้มาทำหน้าที่ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ให้การกระจายรายได้ของคนไทยดีขึ้น ถือว่า บกพร่อง ซึ่งดูจากตัวเลขการกระจายรายได้ของคนไทยปัจจุบัน เรามีการกระจายรายได้เหมือนประเทศโลกที่ 3 มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก”
ศ.ดร.เมธี กล่าวถึงตัวเลขวัดความเหลื่อมล้ำ (GINI) ที่มีค่าระหว่าง 0 กับ 1 ซึ่ง 0 คือ เท่าเทียมกันโดยสิ้นเชิง และ 1 มีความเหลื่อมล้ำโดยสิ้นเชิง พบว่า ไทยมีค่า GINI ประมาณ .5 ถือว่า มีความเหลื่อมล้ำมาก ติดข่ายประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง ไม่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นมีค่า GINI .2 ”
เมื่อถามว่า ระบบภาษีที่ใช้กันอยู่มีส่วนทำให้การกระจายรายได้เลวลงใช่หรือไม่ ศ.ดร.เมธี กล่าว่า ประเทศไทยเอื้อประโยชน์ให้คนฐานะดีมากกว่าคนมีรายได้น้อย ระบบภาษีเป็นส่วนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้มีมากขึ้น โดยเฉพาะ ระบบภาษีเก็บแบบอัตราก้าวหน้า รวมทั้ง กฎหมายไทยก็เปิดช่องให้คนมีเงินสามารถหลบหลีกภาระภาษีได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนที่มีเป็นร้อยรายการ ลักษณะแบบนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่การใช้ภาษีทางตรงเพื่อทำให้ช่องว่าง ระหว่างคนมีฐานะ ให้กระชับเข้าแคบเข้า ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ที่สำคัญ การเก็บภาษีของไทย แม้จะดีขึ้น พึ่งภาษีทางอ้อมลดน้อยลง แต่แนวแนวปฏิบัติ ยังไม่ดีตามที่ตั้งความหวังไว้
ศ.ดร.เมธี กล่าวถึงการดำเนินนโยบายเรื่องภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ต้องดูบริบทของประเทศไทยด้วย ในเมื่อฐานรายได้มีความเหลื่อมล้ำ การใช้ระบบภาษีอัตราก้าวหน้าก็ใช้ไม่ได้ผล จึงเสนอว่า ต้องปฏิรูประบบภาษีเงินได้ใหม่ ยกเลิกอัตราก้าวหน้า ทิ้งไป และมาตั้งอัตราภาษีคงที่ธรรมดา ให้เสียภาษีเท่ากันหมด 10 % เชื่อว่า นอกจากจะได้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว การเก็บภาษีจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหากอยากจะช่วยคนยากคนจนจริง เสียภาษีแล้วสามารถนำกลับคืนไปให้ได้ โดยผ่านระบบการใช้จ่าย จะทำให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ผลรวมศูนย์อำนาจรัฐ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
ขณะที่ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวว่า รากเหง้าของปัญหาความเหลื่อมล้ำ มาจากหลายทาง ทางหนึ่งที่ยังไม่ได้ให้น้ำหนักคือ การรวมศูนย์อำนาจรัฐที่ส่วนกลางมากเกินไป แม้ความจริงจะเป็นโมเดลที่ดี ทำให้เราประสบความสำเร็จ ประเทศเติบโตขึ้นจากประเทศยากจน และล้าหลัง กลายเป็นประเทศที่เจริญขึ้น มีคุณูปการ ขณะเดียวกันการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ก็มีผลตามมา ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมในทางเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำระดับขั้นแห่งการพัฒนาระหว่างเมืองใหญ่กับหัวเมืองอื่นๆ แตกต่างกัน
“เวลานี้ กรุงเทพฯ หากสามารถแยกออกไปได้ จีดีพีของกรุงเทพฯ ไม่ต่างจากสิงค์โปร กรุงเทพเหมือนไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ระดับความสุขสบายแตกต่างจากส่วนอื่นโดยสิ้นเชิง แม้เมืองที่โตเป็นอันดับที่ 2 ก็ห่างไกลจากรุงเทพฯมาก ทั้งในเชิงประชากรและความเจริญ ฉะนั้น กรุงเทพฯเป็นเหมือนศูนย์กลางมีอำนาจชี้ขาดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในชะตากรรมของประเทศ”
ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวว่า เราได้ใช้ความเจริญเติบโตของกรุงเทพฯ มาสร้างเจริญเติบโตของประเทศไทยโดยรวม ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้น ซึ่งต้องเห็นว่า การรวมศูนย์อำนาจมีคุณูปการตรงนี้ อย่าไปคิดว่าการรวมศูนย์อำนาจเป็นของไม่ดี แต่ผลที่ตามมาทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เพราะอำนาจรัฐไม่ใช่มีผลเฉพาะการบริหารจัดการบ้านเมือง แต่เมื่อเอาอำนาจรัฐไปตั้งที่ไหน ความมั่งคั่งจะกระจุกตัวอยู่รอบๆ อำนาจรัฐ ฉะนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงมาเกาะ ความมั่งคั่งสะสมอยู่รอบๆ กรุงเทพฯ
“สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเราประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการบ้านเมือง โดยอาศัยการจัดการเชิงอำนาจหน้าที่ เราตั้งกระทรวง ทบวง กรมขึ้นมา สมัยรัชกาลที่ 5 ปฏิรูประบบราชการ มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ พอมาถึงยุคกระจายอำนาจ เขียนในรัฐธรรมนูญปี 2540 เชิงรูปแบบถือว่าทำสำเร็จ แต่ในเชิงเนื้อหาสาระที่แท้จริง อบจ. อบต. ทำหน้าที่ได้ตามความตั้งใจหรือไม่”
คิดใหม่เพิ่มความสำคัญกับการบริหารจัดการพื้นที่
ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวว่า ต้องกลับมาคิดกันใหม่ เพิ่มความสำคัญกับการบริหารจัดการพื้นที่ (Area based management) ลดความสำคัญของการบริหารจัดการตามหน้าที่ (Functional based management) แม้แต่เวียดนาม จีน มาเลเซีย พม่า ก็เป็นแบบนี้ มีสัดส่วนที่เหมาะสม นี่คือการแบ่งสรรทรัพยากรของแผ่นดินที่พึงใช้ระดับชาติเพื่อประเทศชาติโดยส่วนรวม กับทรัพยากรของแผ่นดินที่พึงมีใช้เพื่อท้องถิ่น
“ตรงนี้ไม่ใช่เป็นการดูเฉพาะเงินที่ส่งไปให้ ต้องมาคิดว่า จริงๆแล้ว local authorities ต้องกล้ารับผิดชอบ 2 ด้าน คือ กล้าเก็บภาษี และกล้าใช้จ่าย ไม่ใช่แบมือรับจากส่วนกลาง มิเช่นนั้นอำนาจจากส่วนกลางก็จะมาจัดการว่า ควรใช้อย่างไร กลายเป็นการทำลายการตัดสินใจของท้องถิ่น”
สำหรับโจทย์ใหญ่ของประเทศ ที่มีผลต่อการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวว่า คือการจัดสรรภาษี การมอบหมายอำนาจในการจัดเก็บภาษี ระหว่างรัฐบาลแห่งชาติ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องทำให้ชัดเจนว่า จะจัดสรรอย่างไร ขณะนี้ ดูจากด้านรายจ่ายท้องถิ่นจะใช้เงิน 25% ของรัฐบาลกลาง หากดูรายได้ที่ท้องถิ่นเก็บเอง ได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนน้อยมาก ไม่ใช่ความผิดของท้องถิ่นเพราะวันนี้ยังไม่ได้มีการฝึกปรือ
“ โจทย์ใหญ่ที่มีผลเปลี่ยนภาพหัวเมืองพื้นที่ ต้องอัดฉีดอำนาจรัฐ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีของอปท. ให้มีสัดส่วนมากขึ้น ให้มีแหล่งรายได้ มีความสามารถในการใช้ทรัพยากร และพัฒนา ภาษีล้อเลื่อน ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ ภาษีค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน เป็นภาษีท้องถิ่น ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม ( VAT) 7% ก็ควรกำหนดให้เป็นของท้องถิ่น 30% ของ 7% แยกแบบไม่ต้องมาขอ เป็นต้น” อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กล่าว และว่า บางท้องถิ่นมีปัญหา ก็เป็นภาระของส่วนกลางที่ต้องไปจัดการ ส่วนไหนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ให้ไปโดยไม่ต้องดึงเอาไว้ เช่น กรุงเทพฯ ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่
ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า การเพิ่มอำนาจการจัดเก็บภาษี ไม่กระทบต่อประชาชนเพราะไม่เพิ่มอัตราภาษี และเพื่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บ คิดว่า ช่วงแรกอาจต้องพึ่งส่วนกลางไประยะหนึ่งก่อน เรื่องนี้ผู้มีอำนาจต้องเข้าใจปัญหาของประเทศชาติ เป็นการจัดการบ้านเมืองให้มีโอกาสได้ลดความเหลื่อมล้ำ และง่ายกว่าการไปเพิ่มภาษีเงินได้ หรือภาษี VAT ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ เก็บภาษีไปเลี้ยง และเสริมบทบาทท้องถิ่น
กรณีมีความเป็นห่วงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นแล้ว จะมีการนำเงินไปใช้ซื้อรถเบนซ์ เที่ยวต่างประเทศ หรือนำไปสร้างตึก นั้น ศ. (พิเศษ) ดร.สมชัย กล่าวว่า ไม่ใช่ทั้งหมด ทุกที่ เรื่องเหล่านี้ เป็น learning curve เพราะว่าจะสร้างระบบราชการขึ้นมาได้ ใช้เวลาหลายร้อยปี อปท.เพิ่มเริ่มตั้งได้ 10 ปี ทำได้แค่นี้ต้องให้กำลังใจ ให้ได้มีโอกาสพัฒนาตัวเอง ผ่านกระบวนการ learning curve การรักชาติ การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ต้องผูกขาด ยิ่งมีคนมาช่วยทำมากยิ่งดี เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติ
หามาตรการเสริมยับยั้งการสะสมความมั่งคั่ง
ด้านนายลวรณ กล่าวถึงมาตรการภาษีอาจไม่ใช่มาตรการที่ดีที่สุดในการกระจายรายได้ มีการศึกษาให้ย้ายสัดส่วนรายได้ของคน 20% บน และ 20% ล่างให้ขยับขึ้นไป ควรเพิ่มรายได้ภาษีให้มากกว่านี้ และนำรายได้ที่เพิ่มมาใช้ผ่านมาตรการรายจ่ายของรัฐบาล ให้อยู่ในรูปของการพัฒนาสังคม ขณะที่รายได้จากภาษียังมีช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งปี 2552 พบว่า ประเทศไทยเก็บภาษีได้ 17.07% ต่อจีดีพี ทั้งๆ ที่มีศักยภาพที่จะเก็บได้มากกว่านี้ แต่เราเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น การใช้ระบบเทคโนโลยี ไอทีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจะทำให้การเก็บภาษีทำได้ทั่วถึงและเป็นธรรม คนมีรายได้เท่ากันเสียภาษีเท่ากัน คนมีรายได้มากเสียภาษีให้มากกว่าคนมีรายได้น้อย
ส่วนนายสรายุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีมาตรการเพื่อยับยั้งการสะสมความมั่งคั่ง ซึ่งในประเทศแคนนาดาและออสเตรีย มีการเก็บภาษีห้างหุ้นส่วนในฐานะเป็นหน่วยภาษี และมีมาตรการการป้องกันการโอนย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่ก่อให้เกิดเงินได้ ไปยังบุตร ผู้เยาว์ รวมทั้งไม่มีการเก็บภาษีมรดก ซึ่งแม้ว่าประเทศที่จัดเก็บจะไม่สามารถเก็บภาษีตัวนี้ได้มาก หากเทียบกับภาษีเงินได้ ภาษีการบริโภค แต่ก็เป็นภาษีที่สำคัญและมีส่วนช่วยยับยั้งการทุจริต โดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือนักการเมือง เนื่องจากถึงทุจริตได้รับเงินมาโดยมิชอบ ก็จะถูกเก็บภาษีจำนวนมาก และมีเงินเหลือเพื่อโอนต่อไปให้รุ่นต่อไปน้อย
สุดท้ายนายวันชัย กล่าวถึงยุทธศาสตร์ทางภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ หลีกไม่พ้นต้องปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือที่จะมาดำเนินการจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะกฎหมาย และโครงสร้างภาษี ปรับทั้งระบบ ทั้งภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อมให้เอื้ออำนวย รวมทั้งต้องมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพไม่ให้มีการหลบเลี่ยงภาษี