- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เฟ้นหาจว.นำร่อง ก่อนเลือกตั้ง ติดประกาศแฉผู้สมัครส.ส.คนใดไม่ควรเลือก
เฟ้นหาจว.นำร่อง ก่อนเลือกตั้ง ติดประกาศแฉผู้สมัครส.ส.คนใดไม่ควรเลือก
ดร.เจิมศักดิ์ โชว์ตั้งไข่แล้ว หลังผุดแนวคิดตั้งองค์กรตรวจสอบภาคปชช. หรือ Beautiful Foundation เหมือนเกาหลีใต้ มีคณะกรรมการ 2 ชุด เกิดขึ้น ที่ ป.ป.ช.-ภาคประชาชน เผยกำลังถกเถียงเพื่อให้ตกผลึก ทดลองบางจังหวัด ก่อนเลือกตั้ง ประกาศให้ทั้งประเทศรู้ ผู้สมัคร ส.ส.คนใดไม่ควรเลือก
วันนี้ (24 ก.ย.) ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงแนวคิดการจัดตั้ง องค์กรตรวจสอบภาคประชาชน หรือ Beautiful Foundation เหมือนในประเทศเกาหลีใต้ ช่วงท้ายงานเสวนา เวทีภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ ครั้งที่ 5 เรื่อง “นักการเมืองกับการแทรกแซงข้าราชการ” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 306 – 308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 ที่จัดโดยคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวถึงความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมีองค์กรคล้าย องค์กรตรวจสอบภาคประชาชนของเกาหลใต้ ว่า ต้องมีองค์กรหรือสถาบันที่มาคอยรวบรวมข้อมูล เริ่มจากนักการเมืองตั้งแต่รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) รวมทั้งข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล จากนั้นนำทั้งข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลพฤติกรรม การอภิปราย การโหวตในสภาฯ การดำเนินคดี สุดท้ายประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ จัดทำเป็นเว็บไซต์พิเศษขึ้นมา มีระดับชั้นความลับแบ่งเป็นหลายระดับ ขณะนี้เริ่มตั้งไข่แล้ว มีคณะกรรมการ 2 ชุด เกิดขึ้น ชุดแรกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนใจ และตั้งอนุกรรมการขึ้นมาทำเรื่องนี้ อีกทั้งเชิญพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานอนุฯ ส่วนภาคประชาชน ทำงานกึ่งๆ องค์กรอิสระ ตั้งสถาบันขึ้นมาแล้วเช่นกัน มีศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา โต้โผรวบรวมข้อมูลแล้ว และมีนพ.มงคล ณ สงขลา ร่วมด้วย
“เรามองว่า อาจจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า สิ่งที่แรกที่ควรจะทำไม่ใช่การเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วลอยๆ สะเปะสะปะ จึงตั้งโจทย์ว่า การเลือกตั้งในปีหน้า เราจะมีข้อมูลอะไรให้กับประชาชนที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุด ซึ่งไม่มีทางทำได้ 76 จังหวัด ดังนั้น จะมีการลองบางจังหวัดที่มีความแหลมคม นำข้อมูลใส่ลงไปเพื่อดูว่า ผู้สมัครในจังหวัดนั้น มีใคร อดีตเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร ทีมงานกำลังดูข้อกฎหมาย และถกเถียงกันว่า จะกล้าบอกหรือประกาศให้ประชาชนทั้งประเทศรู้หรือไม่ว่า บุคคลเหล่านี้ไม่ควรเลือก ในจังหวัดนี้ พร้อมเหตุผลประกอบ ”
ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า การทำลักษณะนี้ที่เกาหลี เมื่อมีการเลือกตั้งจะประกาศออกมาว่า 76 บุคคลเหล่านี้คนเกาหลีไม่ควรเลือก ส่วนที่ญี่ปุ่น การเลือกตั้งครั้งที่แล้วประกาศ 68 คนนี้ไม่ควรเลือก และหลุดมา 4 คนจากที่ได้ประกาศ จากนั้น มีการตามต่อแฉประวัติต่อว่า บุคคลที่หลุดรอด 4 คนไม่ควรรับตำแหน่งอะไร มีการเคลื่อนไหวต่อ เช่น ทำหนังสือถึงพรรคการเมือง เป็นต้น ซึ่งคณะทำงานกำลังหาข้อสรุปกันว่า ประเทศไทยจะถึงขั้นเหมือนญี่ปุ่นหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภาคประชาชนจะขับเคลื่อนร่วมกันหรือไม่
“เรื่องนี้เป็นเกมรุกของป.ป.ช. และทำงานประสานกับภาคประชาชน หวังในระยะยาวองค์กรทำนองนี้มีลักษณะแข็งขันขึ้น มีข้อมูลเปิดเผยให้ประชาชนเห็นมากขึ้น ประชาชนสามารถเข้าเว็บไซต์ได้ สื่อมวลชนอยากรู้เข้าเว็บไซต์นำข้อมูลมาตีแผ่ ช่วยกันหลายๆ ทาง เหมือนกับการเปิดห้องให้มีแสงสว่าง คนทำผิดก็ทำผิดยากขึ้น และเป็นการป้องกันทางหนึ่ง ”
ด้านนายทนงศักดิ์ มุ่งมณี เจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ช. กล่าวถึงการทำฐานข้อมูลนักการเมือง ว่า เป็นมาตรการเชิงรุก เป้าหมายหลักต้องการให้ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติการณ์นักการเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่น ทำอย่างไรให้การเมืองภาคพลเมืองมีบทบาทในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบพฤติการณ์ของนักการเมืองที่เสนอตัวมาเป็นตัวแทนภาคประชาชน โดยหลักต้องการป้องกันไม่ให้นักการเมืองที่มีพฤติการณ์ทุจริต คอรัปชั่น หรือขัดต่อจริยธรรมจริยธรรม เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะใช้เว็บไซต์กลางนำเสนอข้อมูลตรงนี้
สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลของนักการเมือง จะมีกฎหมายป้องกันไว้ในกรณีเปิดเผยนั้น นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของ ป.ป.ช.เองมีเครือข่ายป.ป.ช.ภาคประชาชนแต่ละจังหวัด กำลังออกแบบว่า จะมีการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างไรในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูลของนักการเมืองสู่สาธารณะ กำลังคิดกันอยู่
“ทางทีมอาจารย์จุฬาฯ กำลังขับเคลื่อนทำวิจัย 18 จังหวัด ส่วน ป.ป.ช.จะเริ่มต้น 8 จังหวัดก่อน คาดว่าภายในปีหน้าจะได้เห็นมาตรการการเมืองภาคพลเมืองสามารถตรวจสอบพฤติการณ์ของคนสมัคร ส.ส.ได้ว่า ลักษณะแบบนี้ประชาชนสามารถไว้วางใจได้หรือไม่”