- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปฏิรูป "กม.-กระบวนการยธ." ต้องทำควบคู่กันให้สมบูรณ์
ปฏิรูป "กม.-กระบวนการยธ." ต้องทำควบคู่กันให้สมบูรณ์
“คณิต ณ นคร” ชี้ชัดปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นเจ้าพนักงานเป็นเรื่องเร่งด่วนสุด รองลงมา ปฏิรูปศาลชั้นต้น ไม่ใช่ผลักภาระสุดท้ายไปที่ศาลฎีกา ยันไม่มีประเทศใดในโลกที่ศาลฎีกาต้องมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง
เมื่อเร็วๆ นี้ ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และอดีตอัยการสูงสุด กล่าวถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ทิศทางการพัฒนากระทรวงยุติธรรม ปีงบประมาณ 2554” ณ โรงแรมรามาการ์เด้นท์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ จัดโดยสำนักพัฒนาบุคลากรกระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยระบุ ถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจะต้องมีการปฏิรูปตัวบทกฎหมายควบคู่กันไปด้วย
ศ.ดร.คณิต กล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันนั้นมีหลายประเภท ทั้งกระบวนการยุติธรรมทางอาญา,ทางแพ่ง, ทางแรงงาน และกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ซึ่งกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีความสำคัญอยู่ที่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การเสริมสร้างการพัฒนาประเทศในทุกด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง แต่ยังพบว่า มีปัญหาทั้งเรื่องประสิทธิภาพและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งยังเป็นกระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหาการบริหารจัดการ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นกระบวนการยุติธรรมที่มีแต่การดำเนินคดี แต่เกือบจะไม่มีการบริหารงานยุติธรรม เนื่องจากการบริหารงานยุติธรรมยังเป็นเรื่องของการดำเนินคดีชั้นเจ้าพนักงาน ทั้งที่การบริหารงานยุติธรรมที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การลดปริมาณคดีไม่ให้ขึ้นสู่ศาล
“ ปัจจุบันองค์กรสำคัญในการบริหารงานยุติธรรม คือ อัยการ แต่การสังกัดขององค์กรมีผลต่อการบริหารงานยุติธรรมทำให้สภาพปัจจุบันขององค์กรอัยการไม่เอื้อต่อการบริหารงาน”
ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทย คือ การมีผู้ต้องขังล้นเรือนจำ กระบวนการยุติธรรมในปัจจุบันเป็นกระบวนการยุติธรรมที่เสมือนเป็นสายพาน ดังนั้นจะต้องลดปริมาณคดีที่เข้าสู่ระบบสายพาน และเพิ่มปริมาณคดีที่ออกจากระบบสายพานให้ได้ การลดปริมาณคดีเข้าสู่ระบบสายพานโดยอัยการ เช่น ใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้อง ชะลอการฟ้อง การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในชั้นอัยการ ส่วนการลดปริมาณคดีเข้าสู่ระบบสายพานโดยศาล เช่น การปล่อยชั่วคราว รอการลงโทษ รอการกำหนดโทษ การคุมประพฤติ การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในชั้นศาล หรือแม้กระทั้งการลดจำนวนผู้ต้องขังโดยฝ่ายราชทัณฑ์ เช่น การปล่อยก่อนกำหนด การคุมประพฤติ การอภัยโทษ เป็นต้น
ศ.ดร.คณิต กล่าวถึงการปฏิรูปกฎหมาย ว่า สิ่งที่ต้องปฏิรูปควบคู่กัน คือ จะต้องปฏิรูปตัวบทกฎหมาย, ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย และปฏิรูปการเรียนการสอนกฎหมาย ในอนาคตอาจต้องมีองค์กรปฏิรูปกฎหมายเกิดขึ้น และมีการวิจัยการบังคับใช้กฎหมายจากภาคชีวิตจริงควบคู่ด้วย รวมทั้งการปฏิรูปกฎหมายต้องให้ความรู้กับคนในสังคม ฟังเสียงของคนในสังคมก่อน เช่น การแก้ไขกฎหมายเรื่องทำแท้งในเยอรมนี
ส่วนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้น ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า การสอบสวนฟ้องร้องต้องเป็นกระบวนการตรวจสอบความจริงชั้นเจ้าพนักงานที่เป็นกระบวนการเดียว องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความจริงชั้นเจ้าพนักงาน ได้แก่ พนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ป.ป.ช. ป.ป.ท. และพนักงานอัยการ จะต้องปฏิรูปการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในชั้นสอบสวนฟ้องร้องให้สัมพันธ์กัน โดยเฉพาะกรณีการขอให้ศาลออกหมายจับต้องผ่านอัยการก่อนนั้น ไม่มีประเทศใดทำกัน
ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวถึงการปฏิรูปศาลพิจารณา (Trial Court) โดยศาลชั้นอุทธรณ์ หากยังมีอยู่ ต้องให้ศาลอุทธรณ์ทั้งหลายเป็นศาลพิจารณา ส่วนศาลฎีกาต้องเป็นศาลทบทวนข้อกฎหมาย (Review Court) การอุทธรณ์ ฎีกาต้องเป็นกระบวนการเพื่อประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรมโดยรวม
“การตรวจสอบความจริงในคดีอาญาที่มีการตรวจสอบความจริง 2 ชั้น ในชั้นเจ้าพนักงานและชั้นศาล การตรวจสอบความจริงในชั้นเจ้าพนักงานจะต้องมีความเป็นเอกภาพ มีความเป็นภาวะวิสัย โดยผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบความจริงชั้นเจ้าพนักงาน คือ อัยการ ที่ต้องยึดความถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยระเบียบ มีความละเอียดรอบคอบและมีความเชื่อถือได้ด้วย หากการตรวจสอบความจริงในชั้นเจ้าพนักงานมีประสิทธิภาพจะเป็นการลดคดีขึ้นสู่ศาลได้ รวมทั้งการบริหารงานคดีที่มีประสิทธิภาพย่อมทำให้คดีขึ้นสู่ศาลน้อยลงด้วย สำหรับการตรวจสอบความจริงในชั้นศาลจะต้องมีประสิทธิภาพทั้งในการตรวจสอบความจริงก่อนการประทับฟ้องและการตรวจสอบความจริงชั้นพิจารณาพิพากษา”
ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวด้วยว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นเจ้าพนักงานเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด ซึ่งไม่คัดค้านการมีหลายหน่วยงาน แต่จะต้องมีหนึ่งองค์กรมาควบคุมตรงนี้ นั่นคือ อัยการ เพื่อให้เกิดการทำงานที่บูรณาการกัน แต่ปัจจุบันยังไม่ใช่ ทำให้เกิดคดีที่ยกฟ้องในชั้นศาลจำนวนมาก ส่วนประเด็นรองในการปฏิรูปคือ ต้องเน้นศาลพิจารณา ปฏิรูปศาลชั้นต้นให้ดี ไม่ใช่แก้ปัญหาสุดท้ายที่ศาลฎีกา เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่ศาลฎีกาต้องมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้ที่จะผลักดันการปฏิรูปได้ดีที่สุดคือภาคประชาชน