- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หลายฝ่ายเห็นพ้องตั้งองค์กรอิสระช่วยคนจนต่อสู้คดีกับภาครัฐ-นายทุน
หลายฝ่ายเห็นพ้องตั้งองค์กรอิสระช่วยคนจนต่อสู้คดีกับภาครัฐ-นายทุน
กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมระดมสมอง แก้ปัญหาให้คนจนคดีเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน มีข้อเสนอตั้งองค์กรอิสระเข้าช่วยเหลือ เยียวยา ชะลอการฟ้องร้องคดี พ.ต.อ.ทวี ชี้ช่องใช้กระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หาทางออกง่ายกว่าทำกฎหมายใหม่
วันที่ 3 ธันวาคม 2553 สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กองการต่างประเทศ จัดงานประชุมระดมสมอง เรื่อง การแก้ไขปัญหาเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม : กรณีคดีเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพมหานคร
ศ.นพ. ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า ประเด็นในที่ประชุมเห็นร่วมกันคือ การสำรวจข้อมูลและจัดหมวดหมู่ของปัญหา เพื่อกำหนดวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม ทั้งนี้การนำมิติความเป็นมนุษยธรรมในการเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน จะนำมาสู่ความเป็นธรรมที่กว้างกว่าการยึดแต่ข้อกฏหมายเพียงอย่างเดียว ส่วนการขับเคลื่อนในระยะต่อคือ กระบวนการยุติธรรมแบบมีส่วนร่วม ซึ่งอาจต้องปรับวิธีคิดในมุมด้านกฎหมาย เพื่อให้เห็นแนวทางการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย ผู้ฟ้องร้อง หรือกระบวนการยุติธรรม โดยมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ โดยนำหลักสิทธิชุมชนเข้ามารองรับ
ส่วนนางปรีดา คงแป้น กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องทำให้เกิดขึ้นคือการสร้างกระบวนการก่อนที่จะถูกดำเนินคดี ด้วยการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดิน เช่น การทำแผนที่ชุมชน ซึ่งจะช่วยทำให้มีหลักฐานในการต่อสู้คดีเพิ่มเติม ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อชาวบ้านถูกดำเนินคดี ต้องหาทรัพย์มาต่อสู้คดีในชั้นศาล ทำให้ต้องแบกภาระหนี้สินเพิ่มเติม เชื่อว่า หากมีองค์กรอิสระที่เข้ามาช่วยเหลือมีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องขอให้ภาครัฐชะลอการฟ้องร้องจนกว่าจะพิสูจน์สิทธิ์เสร็จสิ้น ถือเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านในเบื้องต้น
นางปรีดา กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือด้วยการนิรโทษกรรมนั้น ชาวบ้านหลายกลุ่มเห็นด้วย แต่ต้องมีมาตรการแยกแยะคดีให้ชัดเจน ต้องแบ่งแยกคดีระหว่างคนด้อยโอกาสกับนายทุนเสียก่อน โดยพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามในกระบวนการคัดกรองผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมนั้น ควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ที่สุด
ขณะที่นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฏิรูป กล่าวถึงความเดือดร้อนจากการถูกฟ้องดำเนินคดีโดยรัฐของประชาชนมีเป็นหมื่นคดี ประชาชนอยู่ในที่ดินของรัฐเป็นล้านราย การแก้ไขปัญหาต้องคำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการ คือ สิ่งที่จะมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง เพราะในหลายพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งนั้น ประชาชนอยู่มาก่อนที่กฏหมายเกิดขึ้น ต่อมาเอกชนหรือภาครัฐนำเอกสารที่ออกโดยกฎหมายมาบังคับ ซึ่งถือว่าไม่ยุติธรรม
“สิ่งที่อยากจะเสนอก็คือในกรณีที่มีคำพิพากษาไปแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษจากจำคุกเป็นการออกมาทำงานเพื่อสังคม หรือคดีที่ยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน อยากขอให้มีการจำหน่ายคดีหรือชะลอการฟ้องไปจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิ์กันเสร็จสิ้น”
ด้านพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีประชาชนร้องขอให้ยกเลิกการบังคับคดี ว่า ทางกฎหมายนั้นไม่สามารถทำได้ แต่ควรใช้กระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่แล้วในการหาทางออก เช่น การพักโทษในกรณีคดีอาญา ยกเลิกไม่ฟ้อง ปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอัยการ สิ่งเหล่านี้สามารถทำสำเร็จภายใน 3 - 6 เดือน หรือกรณีประชาชนต้องการให้มีการจัดตั้งกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือคดีฟ้องร้องต่อผู้ด้อยโอกาส โดยดำเนินการไกล่เกลี่ยก่อนที่จะถูกนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งการแก้ไขปัญหาทั้งหมด จะต้องมีกระบวนการคัดกรองที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ผู้ที่กระทำผิดจริงได้รับผลประโยชน์เหล่านี้ไปด้วย
ในส่วนความเห็นของนักวิชาการนั้น นายไพสิฐ พาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กระบวนการทางกฎหมายและการสูญเสียที่ดินมีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้ก่อนที่จะทำการเยียวยาหรือช่วยเหลือผู้เดือดร้อน อาจต้องแบ่งกลุ่มผู้เสียหายให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อสร้างมาตรการบรรเทาปัญหา และการแก้ไขที่ตรงจุด โดยอาจแบ่งกลุ่มผู้เดือดร้อนได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1.ผู้ถูกละเมิดสิทธิ์ที่มีอยู่เดิม ควรใช้การรับรองสิทธิและต้องบังคับใช้ผังเมืองอย่างจริงจัง 2.ผู้ถูกแย่งสิทธิ์ อยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับจัดสรรที่ดินแต่ไม่ได้รับหรือผู้ถูกที่เวนคืนที่ดิน 3.ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน และเข้าไปบุกรุกที่ดิน 4.ผู้ที่เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินโดยไม่มีเจตนาครอบครอง อย่างไรก็ตามกระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้สร้างการมีส่วนร่วมจากบุคลากรในหน่วยงานต่างๆ อย่าง กระบวนการยุติธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเรื่องที่ดิน เพื่อสร้างการยอมรับ และสะท้อนให้เห็นกรอบหน้าที่ของตนที่ชัดเจน
ผศ.อิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงคดีบุกรุกที่ดินส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว อย่าว่าแต่เงินหลักหมื่น บางครั้งหลักพันชาวบ้านเหล่านี้ก็หามาลำบากแล้ว สิ่งนี้เองที่สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนขาดแต้มต่อ เมื่อต้องต่อสู้กับภาครัฐ” และ ว่า ผลสรุปของการระดมความคิดเห็นเรื่อง “คนจนกับการเข้าถึงความเป็นธรรมในปัญหาที่ดินทำกิน” เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า ประชาชนอยู่ในฐานะผู้ด้อยโอกาส ซึ่งขาดแต้มต่อในการต่อสู้คดีทั้งด้านทรัพย์สิน และโครงสร้างทางสังคม ทำให้การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ ในการประชุมฯ ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาภาครัฐได้ทำการสำรวจพื้นที่รกร้างหลายแห่ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการถ่ายภาพ หรือวิเคราะห์อาณาบริเวณจากดาวเทียม ซึ่งเป็นการอาศัยเทคโนโลยีทันสมัยในการสำรวจ แต่สิ่งหนึ่งที่ภาครัฐไม่เคยทำคือ การเดินเผชิญสืบสำรวจพื้นที่จริงเทียบกับพิกัดบนแผนที่อย่างจริงจัง เรื่องนี้ที่ทำให้ชาวบ้านผู้เคยบุกเบิกพื้นที่กลายเป็นผู้บุกรุกภายในพริบตา เพราะภาครัฐเชื่อเทคโนโลยีมากกว่าที่จะเข้าไปพิสูจน์ด้วยตาของตนเอง
ขณะเดียวกัน ข้อกฎหมายหลายส่วนก็เอื้ออำนวยต่อผู้มีทรัพย์สิน ชาวบ้านไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ้างทนาย ไม่มีค่าเดินทางเมื่อศาลเรียกไต่สวน ทำให้ทุกวันนี้ประชาชนต่อสู้คดี เหมือนมวยวัดขึ้นชกกับแชมป์เปี้ยน ชกอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ ดังนั้น วิธีหนึ่งซึ่งทำให้คนจนต่อสู้คดีกับภาครัฐ และนายทุนได้ ต้องจัดตั้งศาลพิจารณาคดีพิเศษหรือมีองค์กรอิสระเข้ามาช่วยเหลือ โดยมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีความ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการต่อสู้คดีของประชาชน ภาครัฐและนายทุน